‘การค้าผิดกฎหมาย’ ภัยคุกคามเงียบเศรษฐกิจอาเซียน

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้าผิดกฎหมายกำลังขยายตัวอย่างเงียบๆ แต่สม่ำเสมอ ตั้งแต่ลักลอบขนบุหรี่และยาปลอมไปจนถึงไม้เถื่อนและทำประมงโดยไม่ได้รับอนุญาต
เศรษฐกิจซ่อนเร้นแบบนี้กำลังกลายเป็นภัยคุกคามอย่างรวดเร็วต่ออนาคตเศรษฐกิจของภูมิภาค ทำให้งบประมาณสาธารณะถูกดูดออกไปหลายพันล้าน ชีวิตผู้คนตกอยู่ในความเสี่ยง ทั้งยังบั่นทอนการบังคับใช้กฎหมาย ถ้ายังละเลยต่อไปอาจชะลอความก้าวหน้าของอาเซียนในอนาคตอันใกล้
การค้าขายอย่างผิดกฎหมาย สร้างความเสียหายให้กับ เขตเศรษฐกิจอาเซียน ราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ทุกปี ซึ่งมากกว่าผลผลิตโดยรวมของบรูไนเสียอีก เงินจำนวนนี้ควรนำไปใช้ปรับปรุงโรงพยาบาล โรงเรียน โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ยิ่งไปกว่านั้นคือวิสัยทัศน์ร่วมที่เรียกว่า อาเซียนวิชัน 2025 กำลังตกอยู่ใต้ความเสี่ยง แผนนี้ตั้งใจสร้างอาเซียนที่เป็นเอกภาพและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่การค้าผิดกฎหมายทำให้รายได้หายไป บั่นทอนความร่วมมือ และอาชญากรรมเพิ่มขึ้น องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเมินว่า เฉพาะสินค้าปลอมอย่างเดียวมีมูลค่ากว่า 4.6 แสนล้านดอลลาร์ทั่วโลก แต่ความท้าทายหนักสุดที่อาเซียนต้องเผชิญคือ เครือข่ายอาชญากรฉวยประโยชน์จากกฎหมาย อัตราภาษี และการบังคับใช้กฎหมายที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ
ตัวอย่างเช่น การลักลอบนำเข้าบุหรี่ในมาเลเซียทำให้เกิดการสูญเสียมากกว่า 5,000 ล้านริงกิตต่อปี ในเมียนมาการค้าแอลกอฮอล์ ไม้ และอัญมณีผิดกฎหมายมีมูลค่ามากกว่า 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฟิลิปปินส์การลักลอบนำเข้ายาสูบและแอลกอฮอล์ทำให้การจัดเก็บภาษีและโครงการสาธารณสุขอ่อนแอลง
ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขและชีวิตประจำวัน
การค้าผิดกฎหมาย ที่พบได้มากที่สุดอย่างหนึ่งคือยาสูบ บุหรี่มีขนาดเล็ก ลักลอบขนได้ง่าย เสียภาษีสูง และความต้องการสูง แบรนด์ผิดกฎหมายมักไม่มีอากรแสตมป์และคำเตือนด้านสุขภาพ ขายในราคาถูกกว่า ทำให้วัยรุ่นและกลุ่มรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น นั่นทำให้เกิดเศรษฐกิจแยกส่วนที่ทำลายความพยายามทางสาธารณสุขและลดรายได้ของรัฐบาล
อันตรายไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ระบุว่ายาในประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางถึง10% เป็นยาปลอมหรือคุณภาพต่ำ ในอาเซียน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักขายทางออนไลน์หรือส่งออกข้ามพรมแดนโดยไม่ค่อยมีการควบคุมดูแล
รายงานของพันธมิตรข้ามประเทศเพื่อต่อสู้การค้าผิดกฎหมาย (ทีอาร์เอซีไอที) ประจำปี 2023 ประเมินว่า ยาปลอม สร้างความเสียหายให้กับอาเซียนปีละ 2.6 พันล้านดอลลาร์ โศกนาฏกรรมเหล้าเถื่อนผลิตจากเมทานอลในอินโดนีเซียชี้ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอันตรายถึงแก่ชีวิตแค่ไหน
การค้าผิดกฎหมายยังเป็นอันตรายต่อเกษตรและชุมชนท้องถิ่น ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงปลอมทำลายพืชผล ลดรายได้ชาวบ้าน การลักลอบตัดไม้และจับปลาทำลายสภาพแวดล้อม ความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว รวมถึงการจ้างงาน แค่ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing: IUU Fishing) ก็สร้างความสูญเสียในน่านน้ำอาเซียนปีละ 6 พันล้านดอลลาร์
เบื้องหลังกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้ก็คืออาชญากรรมดำมืด การบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ยังคงเบ่งบานในภูมิภาคนี้ต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ประเมินว่า กิจกรรมเหล่านี้ทำรายได้ปีละ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ทั่วโลก และมักพุ่งเป้าผู้หญิง เด็ก และคนยากจนที่สุดในสังคม
อาเซียนจะทำอะไรต่อไป
แม้เป็นปัญหาใหญ่ แต่การรับมือของโลกยังช้าและไม่เท่าเทียมกัน ดัชนีการค้าผิดกฎหมายประจำปี 2025 ของทีอาร์เอซีไอที ระบุว่า ประเทศส่วนใหญ่ทำคะแนนได้ราว 50 เต็ม 100 เท่านั้น ในแง่ความพร้อมต่อกรกับการค้าผิดกฎหมาย แม้มีเจตจำนงค์ทางการเมือง แต่กฎหมายที่ล้าสมัยและทรัพยากรจำกัดเป็นตัวฉุดรั้ง
สิ่งที่อาเซียนทำได้มี 5 ขั้นตอนคือ
1. ปรับกฎหมายและนโยบายภาษีให้สอดคล้องกันในแต่ละประเทศ กฎระเบียบและระดับภาษีที่แตกต่างกันทำให้ผู้ลักลอบขนสินค้าข้ามพรมแดนทำได้ง่ายขึ้น ระบบกฎหมายที่เป็นหนึ่งเดียวกันจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายง่ายขึ้นมาก
2. ใช้เทคโนโลยีที่ชาญฉลาดมากขึ้น การมีระบบศุลกากรร่วมเครื่องมือติดตามดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์สามารถช่วยให้รัฐบาลตรวจจับและหยุดยั้งกิจกรรมที่ผิดกฎหมายได้เร็วขึ้น กลุ่มอาชญากรใช้แอปที่เข้ารหัสและสกุลเงินดิจิทัลอยู่แล้ว ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องทันสมัยเช่นกัน
3. ทำงานใกล้ชิดกับภาคธุรกิจบริษัทหลายแห่งสูญเสียรายได้เมื่อสินค้าของตนถูกลอกเลียนแบบหรือลักลอบนำเข้า ในประเทศอย่างไทยและฟิลิปปินส์ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและผู้ผลิตช่วยให้ตามรอยสินค้าผิดกฎหมายและปิดการขายออนไลน์ได้ ความร่วมมือเหล่านี้ควรขยายไปทั่วทั้งภูมิภาค
4. ให้ความรู้แก่สาธารณชน ประชาชนจำนวนมากยังไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงของการซื้อสินค้าปลอมหรือลักลอบนำเข้า การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และเพิ่มการสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย
5. ตั้งคณะทำงานถาวรของอาเซียน เป็นคณะทำงานจากประเทศต่างๆ เพื่อแบ่งปันข้อมูล ปรับมาตรฐาน และทำให้ประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นวาระของภูมิภาค ไม่ว่าใครอยู่ในตำแหน่งก็ตาม
ยิ่งกว่าปัญหาการตลาด
การหยุดยั้งการค้าผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่ปกป้องธุรกิจ ยังเป็นการดูแลชุมชนให้ปลอดภัย ยกระดับสาธารณสุข สร้างหลักประกันว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเข้าถึงทุกคน
หากผู้นำอาเซียนสามารถร่วมมือกันปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย ใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่า และทำงานร่วมกับภาคเอกชน พวกเขาสามารถแสดงให้เห็นว่าความร่วมมือในภูมิภาคได้ผล ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขาสามารถช่วยกำหนดอนาคตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ด้วยการค้าที่เป็นธรรม ถูกกฎหมาย และครอบคลุม ไม่ใช่ด้วยตลาดเงา







