Fitch Ratings เตือน บริษัทไทยรายใหญ่หนี้สูงกว่าภูมิภาค

Fitch Ratings เตือน บริษัทไทยรายใหญ่หนี้สูงกว่าภูมิภาค สะท้อนการลงทุนที่พึ่งพาเงินกู้ หวั่นโครงสร้างเงินทุนเปราะบาง เพิ่มความเสี่ยงด้านการรีไฟแนนซ์-สภาพคล่อง
ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ได้ออกมาเตือนถึงปัญหา “หนี้สิน” ที่อยู่ในระดับสูงของบริษัทไทยรายใหญ่หลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่ออกตราสารหนี้
โอบบุญ ถิรจิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายจัดอันดับเครดิตภาคอุตสาหกรรม บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) กล่าวในงาน Fitch’s Thailand Corporate Credit Outlook วานนี้(1 ก.ค.68)ว่า บริษัทขนาดใหญ่ของไทยหลายแห่ง มีอัตราส่วนหนี้สินในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับบริษัทในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่จัดอันดับโดยฟิทช์ เป็นผลมาจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่พึ่งพาเงินกู้เป็นหลักและการเติบโตที่ซบเซามาเป็นเวลานาน
อัตราส่วนหนี้สินบริษัทไทยแตะ 15 เท่า
ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567 ชี้ให้เห็นว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิเมื่อเทียบกับ EBITDA (EBITDA net leverage) ของผู้ออกหุ้นกู้รายใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกของไทย อยู่ที่เฉลี่ย 3.8 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทไทยที่ฟิทช์จัดอันดับไว้ที่ 2.1 เท่า และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทในเอเชียแปซิฟิกที่ฟิทช์จัดอันดับไว้ที่ 2.4 เท่าอย่างมาก
แม้ว่ากลุ่ม ปตท. จะมีอัตราส่วนหนี้สินต่ำสุดอยู่ที่ 1.6 เท่า แต่ผู้ออกหุ้นกู้รายใหญ่อื่นๆ กลับมีอัตราส่วนหนี้สินตั้งแต่ 3.8 เท่า ไปจนถึง 15 เท่า ณ สิ้นปี 2567
หนี้ที่สูงต่อเนื่อง และการที่บริษัทมีเงินสดอิสระติดลบอยู่เรื่อย ๆ หมายความว่าบริษัทเหล่านั้นต้อง พึ่งพาเงินกู้มากกว่าเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานปกติ สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทเปราะบางและเผชิญกับ “ความเสี่ยง” ในการรีไฟแนนซ์และสภาพคล่องที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวน
นอกจากนี้ ธรรมาภิบาลที่อ่อนแอ เช่น การกำกับดูแลของคณะกรรมการที่ไม่เพียงพอ โครงสร้างกลุ่มบริษัทที่ไม่โปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เพียงพอ ก็เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนถึงภาวะการเงินที่แย่ลงอีกด้วย
แนวโน้มธุรกิจไทยในมุมมอง ‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ชี้แนวโน้มภาคธุรกิจไทย โดยมีทั้งกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ และกลุ่มที่ต้องเผชิญความท้าทาย
ธุรกิจโทรคมนาคม คาดว่าจะยังคงได้รับประโยชน์จากการแข่งขันที่ลดลง ทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่น และมีเสถียรภาพ ขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจะช่วยหนุน การเติบโตของรายได้ในธุรกิจปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งบริษัทบรรจุภัณฑ์ คาดว่ารายได้น่าจะยังคงแข็งแกร่ง จากความต้องการอย่างต่อเนื่อง
ในทางตรงกันข้าม บริษัทปิโตรเคมี ยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านรายได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ยาวนาน ซึ่งเกิดจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ และอุปทานที่เพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทพลังงาน กำลังเร่งลงทุนและเข้าซื้อกิจการเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่แหล่งพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่สูงอยู่แล้วแย่ลงไปอีก
สุดท้าย ฟิทช์คาดว่ารายได้ของบริษัทน้ำมันและก๊าซ จะชะลอตัวลงจากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ควบคู่ไปกับการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมัน และก๊าซจะอ่อนตัวลง แม้ว่ารายได้โดยรวมจะยังคงแข็งแกร่งอยู่ก็ตาม
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







