เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ ‘ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ’ นโยบายกีดกันการค้า ฉุดรั้งเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ ‘ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ’ นโยบายกีดกันการค้า ฉุดรั้งเศรษฐกิจ

‘ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ’ ชี้ ‘ความตึงเครียดทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์’ กำลังบั่นทอนระเบียบเศรษฐกิจเดิม สู่ ‘ยุคไม่แน่นอน’ ที่ท้าทายความเชื่อมั่นสถาบันการเงิน หนี้พุ่ง ดอลลาร์ร่วง บ่งชี้ความเปราะบางที่โลกต้องจับตา

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า “ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ” (BIS) ระบุในการประเมินภาวะเศรษฐกิจโลกล่าสุดว่า ความตึงเครียดทางการค้าและความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ กำลังเสี่ยงที่จะเผยให้เห็น “รอยร้าวลึก” ในระบบการเงินโลก

ออกัสติน คาร์สเตนส์ หัวหน้า BIS ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมักถูกขนานนามว่าเป็น “ธนาคารกลางของธนาคารกลาง” กล่าวว่า สงครามการค้าที่นำโดยสหรัฐ และการเปลี่ยนแปลงนโยบายอื่นๆ กำลังบั่นทอนระเบียบเศรษฐกิจที่ตั้งมั่นมายาวนาน

คาร์สเตนส์เผยว่า เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ใน “ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ” และก้าวเข้าสู่ “ยุคใหม่ของความไม่แน่นอนและความคาดเดายากที่เพิ่มขึ้น” ซึ่งกำลังทดสอบความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อสถาบันต่างๆ รวมถึงธนาคารกลาง

รายงานของธนาคาร BIS ฉบับนี้ เผยแพร่ออกมาเพียง 1 สัปดาห์ก่อนกำหนดเส้นตายภาษีการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 9 กรกฎาคม และเกิดขึ้นหลังจากเกิดความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างรุนแรงเป็นเวลา 6 เดือน

คาร์สเตนส์ชี้ว่า การกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น และการแยกส่วนทางการค้านั้น “น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ” เพราะสิ่งเหล่านี้กำลังทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลิตภาพที่ลดลงมานานหลายทศวรรษยิ่งเลวร้ายลง

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานว่า เศรษฐกิจโลก กำลังมีความสามารถในการฟื้นตัวจากภาวะช็อกลดลง โดยมีปัจจัยอย่างสังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ล้วนมีส่วนทำให้สภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนมากขึ้น

คาร์สเตนส์เสริมว่า ระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้น เป็นแนวโน้มนี้ไม่สามารถไปต่อได้ และการใช้จ่ายทางทหารที่สูงขึ้น อาจผลักดันให้มูลค่าหนี้เพิ่มสูงขึ้นไปอีก

ฮยอน ซง ชิน ที่ปรึกษาเศรษฐกิจหลักของ BIS ยังได้ชี้ให้เห็นถึง การอ่อนค่าลงอย่างมากของสกุลดอลลาร์ ซึ่งลดลงถึง 10% ตั้งแต่ต้นปี และกำลังจะกลายเป็นสถิติการลดลงในครึ่งปีแรกที่มากที่สุด นับตั้งแต่ยุคอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวอิสระเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1970

ฮยอน ซง ชินกล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของ “การหมุนถ่ายครั้งใหญ่” ออกจากสินทรัพย์ของสหรัฐอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนได้เสนอไว้ แต่ยอมรับว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปผลได้ เนื่องจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ และธนาคารกลางต่างๆ มีการเคลื่อนไหวที่ช้า

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ในระยะสั้นแสดงให้เห็นว่า การป้องกันความเสี่ยงโดยนักลงทุนนอกสหรัฐที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาล และสินทรัพย์อื่น ๆ ของสหรัฐ ดูเหมือนจะมีส่วนสำคัญต่อการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ในส่วนของสถานะการเงินของ BIS เอง ทางธนาคารระบุว่า BIS มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 843.7 ล้านหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงินของ IMF (SDR) ซึ่งเทียบเท่ากับ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรายได้รวมทั้งหมดของ BIS สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 3,400 ล้าน SDR ซึ่งเทียบเท่ากับ 5,300 ล้านดอลลาร์ ส่วนเงินฝากสกุลเงินต่าง ๆ ที่ธนาคาร ก็เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่เช่นกัน

คาร์สเตนส์กล่าวว่า “เป็นสิ่งสำคัญที่ BIS มีความน่าเชื่อถือทางเครดิตสูงสุดในบรรดาองค์กรทั้งหมด”

อ้างอิง: reuters