'เศรษฐีจีน' กลัวความไม่แน่นอน เล็งย้ายออกจากประเทศลดลงเป็นประวัติการณ์

'เศรษฐีจีน' กลัวความไม่แน่นอน เล็งย้ายออกจากประเทศลดลงเป็นประวัติการณ์

จำนวนเศรษฐีจีนที่จะย้ายออกจากประเทศมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสภาพแวดล้อมด้านต่างๆ ของประเทศที่ดีขึ้น และความไม่แน่นอนในนโยบายของต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น

บริษัทที่ปรึกษาจากลอนดอนคาดการณ์ว่า จำนวนชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีฐานะที่เลือกย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศอาจลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น และการพยายามดึงดูดผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีมากขึ้น

รายงานประจำปีเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานของนักลงทุนของบริษัท Henley & Partners ระบุเพิ่มเติมว่า เศรษฐีจากทั่วภูมิภาคเอเชียเริ่มย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการว่าจะมีผู้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาสุทธิอยู่ที่ประมาณ 800 คน ซึ่งจำนวนนี้รวมไปถึงผู้บริหารระดับสูงหลายคนจากบริษัทไฮเทคที่เติบตัวอย่างรวดเร็วในเมืองข้างเคียงอย่างเซินเจิ้นอีกด้วย

รายงานประจำปีนี้ซึ่งถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคาร (24 มิ.ย.) คาดว่าบุคคลที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูง (บุคคลมีทรัพย์สินที่สามารถลงทุนได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์) จำนวน 142,000 คน จะย้ายถิ่นฐานไปยังต่างประเทศในปีนี้

อย่างไรก็ตาม จำนวนเศรษฐีชาวจีนแผนดินใหญ่ที่จะย้ายออกจากประเทศคาดว่าจะลดลงเหลือเพียง 7,800 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว 15,200 ราย และปี 2023 ที่ระดับ 13,800 ราย ทำให้จีนเสียตำแหน่งประเทศที่เศรษฐีย้ายออกมากที่สุดในโลกที่ครองมากว่า 10 ปี

สหราชอาณาจักรจะกลายเป็นประเทศที่เศรษฐีย้ายออกมากที่สุดแทน โดยปีนี้มีเศรษฐีย้ายออกถึง 16,500 ราย ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สเปน และเยอรมนี ก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนการย้ายออกมากขึ้นเช่นกัน

การเติบโตของศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของจีน เช่น เซินเจิ้นและหางโจว ควบคู่กับการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการธนาคารส่วนบุคคล สาธารณสุข และความบันเทิง เป็นเหตุผลใหม่ๆ ที่ทำให้มหาเศรษฐีในแผ่นดินใหญ่ต้องการจะอยู่ต่อ

ที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานชาวจีนรายหนึ่งกล่าวว่า อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนเศรษฐีย้ายออกจากแผ่นดินใหญ่น้อยลงคือความไม่แน่นอนที่นักศึกษาจีนในต่างประเทศต้องเผชิญ โดยเชื่อว่าปัจจุบันจำนวนเศรษฐีย้ายออกนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19

การศึกษาในต่างประเทศถือเป็นประตูสู่โอกาสดีๆ หลายอย่างให้แก่ครอบครัวจีนที่ร่ำรวยมาแล้วหลายทศวรรษ เช่น การได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยระดับโลก การได้ประสบการณ์ระดับนานาชาติ และความได้เปรียบในการหาอาชีพในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ได้กลายเป็นเส้นทางที่ไม่แน่นอนไปแล้ว เนื่องจากประเทศต่างๆ ที่เคยถูกมองเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียนต่างชาติ เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย ต่างเริ่มบังคับใช้กฎเกณฑ์วีซ่านักเรียนที่เข้มงวดยิ่งขึ้นและจำกัดโอกาสต่างๆ หลังจบการศึกษา ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนมากขึ้น

บิล หลิว ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา Guangzhou Cheuk Yuet กล่าวว่า ปัจจุบันชาวจีนที่มีฐานะมีแนวทางในการจัดสรรสินทรัพย์และการตัดสินใจเกี่ยวกับถิ่นที่อยู่ที่ “เน้นการปฏิบัติได้จริงมากกว่า” โดยหลิวกล่าวเพิ่มเติมว่าในอดีต ฐานลูกค้าของบริษัทกว่าร้อยละ 70 เลือกย้ายถิ่นฐานเพื่อผลประโยชน์ทางการศึกษาของลูกโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบัน “เหตุผลแค่นั้นไม่สามารถทำให้พวกเขาตัดสินใจย้ายประเทศได้แล้ว”

นอกจากนี้ หลิวยังกล่าวอีกว่า ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นและนโยบายวีซ่าของประเทศปลายทางที่เข้มงวดขึ้นส่งผลให้ชาวจีนจำเป็นต้องเริ่มทบทวนผลประโยชน์ในระยะยาวและต้นทุนของการย้ายถิ่นฐานใหม่จากมุมมองที่กว้างขึ้น

ฟาง ลี่ ซึ่งกำลังดำเนินการธุรกิจด้านสาธารณะสุขในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีนกับครอบครัว ได้ออกความเห็นว่าเคยมีแผนที่จะให้ลูกชายศึกษาต่อและทำงานในสหรัฐ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนใจและรู้สึกว่า “ควรให้ลูกไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ฮ่องกงไม่ก็ญี่ปุ่นมากกว่า” เพราะว่าประเทศในเอเชีย “เป็นมิตรต่อชาวจีนและมีความมั่นคงมากกว่า”

ฟางกล่าวว่า ลูกชายได้ศึกษาในโรงเรียนนานาชาติและกำลังเตรียมสมัครเข้ามหาวิทยาลัยต่างประเทศในปีนี้ แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเหล่านั้นต่างมี “ตัวแปรที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา”

 

อ้างอิง: South China Morning Post