ทรัมป์ขยายกรอบภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม ‘ตู้เย็น-กระป๋องเบียร์’ ไม่รอด โดนเก็บเพิ่ม

การขยายขอบเขต ‘ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม’ ของทรัมป์ กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้น เมื่อกระป๋องเบียร์ ตู้เย็น และไมโครเวฟ ถูกลากเข้าไปอยู่ในมาตรการอย่างไม่มีคำอธิบายชัดเจน จุดชนวนกังวลว่า การตีความไร้กรอบ อาจนำไปสู่การจัดเก็บภาษีในวงกว้าง โดยไร้จุดสิ้นสุด
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังขยายการเก็บภาษีนำเข้าต่อภาคอุตสาหกรรมเฉพาะมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ “ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม” ซึ่งขณะนี้ครอบคลุมถึง “กระป๋องเบียร์” และ “เครื่องใช้ไฟฟ้า” บางประเภทแล้ว จนก่อความกังวลว่าจะมีการขยายมาตรการเหล่านี้อย่างไม่หยุดยั้ง
วอชิงตันเริ่มเรียกเก็บภาษีศุลกากร 50% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมที่ใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องล้างจาน และไมโครเวฟ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (23 มิ.ย.) โดยสินค้ากลุ่มนี้ ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของเหล็กและอะลูมิเนียม จึงถูกจัดเก็บภาษีตามปริมาณโลหะที่มีอยู่ในสินค้าเหล่านั้น
สินค้าประเภทนี้จำนวนมากในตลาดสหรัฐ ถูกนำเข้าจาก “เม็กซิโก” และ “เกาหลีใต้” โดยประมาณ 20% ของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกเก็บภาษีในรอบนี้เป็น “ตู้เย็นจากเม็กซิโก” และอีก 10% เป็น “ตู้เย็นจากเกาหลีใต้”
สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งรวมถึง “ตู้เย็น” และ “ไมโครเวฟ” คิดเป็นประมาณ 20% ของยอดนำเข้าทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ยังมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้าจากจีนที่เริ่มตั้งแต่สมัยแรกของทรัมป์ ซึ่งทำให้ภาระภาษีรวมอาจสูงถึงเกือบ 100% ส่งผลให้มีแนวโน้มสูงขึ้นที่ธุรกิจจะผลักภาระต้นทุนนี้ไปยังราคาขายปลีก
ไม่เพียงเท่านั้น สหรัฐได้เพิ่ม “กระป๋องเบียร์” เข้าไปในการจัดเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเน้นเก็บภาษีกับตัวกระป๋องอะลูมิเนียม ไม่ใช่เบียร์ที่อยู่ข้างใน
จนถึงขณะนี้ วอชิงตันยังไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่า กระป๋องเบียร์และตู้เย็นเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศอย่างไร
ในช่วงสมัยแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ มาตรการจัดเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมได้รวมถึงการเพิ่ม “สินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบเป้าหมาย” เข้าไว้ด้วย เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี เช่น การแปรรูปเหล็กและอะลูมิเนียม เป็นน็อตหรือสกรูแล้วส่งออก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทรัมป์ในสมัยที่สอง หากไม่มีการนิยาม “สินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบเป้าหมาย” อย่างชัดเจน ขอบเขตของการเก็บภาษีก็อาจขยายออกไปได้อย่างไม่สิ้นสุด เช่น หากกระป๋องเบียร์ต้องเสียภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม สินค้าใด ๆ ที่มีส่วนประกอบของเหล็กและอะลูมิเนียมในระดับหนึ่ง ก็อาจถูกจัดเก็บภาษีแบบเดียวกันได้เช่นกัน
ความกังวลในลักษณะเดียวกัน ยังเกิดขึ้นกับภาษีในอนาคตที่อาจจะตามมา โดยเฉพาะภาษีต่อเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอาจรวมถึงสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และจอแสดงผลในฐานะ “สินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบเป้าหมาย” ที่ต้องเสียภาษีเช่นกัน
ทั้งนี้ เกาหลีใต้ ได้ยื่นหนังสือแสดงความเห็นต่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ โดยระบุว่า สินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ควรได้รับการยกเว้นจากมาตรการภาษีดังกล่าว
ขณะเดียวกัน Mitsubishi Electric ซึ่งจัดหาจอแสดงผลขนาดใหญ่ให้กับอาคารต่าง ๆ ในนิวยอร์กบริเวณไทม์สแควร์ ก็กำลังยื่นอุทธรณ์ เพื่อขอให้จอเหล่านั้นได้รับการยกเว้นภาษี โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติแต่อย่างใด
อ้างอิง: nikkei







