ทรัมป์ไม่ชัดเจนว่า สหรัฐจะยึดมั่นพันธะการปกป้องร่วมกันของนาโต

ทรัมป์ไม่ชัดเจนว่า สหรัฐจะยึดมั่นพันธะการปกป้องร่วมกันของนาโต

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักการการป้องกันประเทศร่วมกันของนาโต ขณะที่นาโตเตรียมเพิ่มงบประมาณรายจ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็น 5 % ของจีดีพี

สำนักข่าวอัลจาซีรา รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐสงวนท่าทีเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของวอชิงตันที่มีต่อพันธะตามมาตรา 5 ของนาโต ก่อนการประชุมสุดยอด 2 วันที่กรุงเฮก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาแสดงความไม่มั่นใจว่าวอชิงตันจะปฏิบัติตามพันธะการป้องกันประเทศร่วมกันดังที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) หรือไม่

“ขึ้นอยู่กับคำนิยามของคุณ” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวเมื่อวันอังคาร ขณะมุ่งหน้าไปยังกรุงเฮกเพื่อร่วมประชุมสุดยอดประจำปีในปีนี้จัดขึ้นในวันที่ 24-25 มิถุยน โดยมีฉากหลังเป็นความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่ในยูเครน กาซา และตะวันออกกลาง

“มีคำนิยามมากมายเกี่ยวกับมาตรา 5  คุณรู้ใช่ไหม? แต่ผมมุ่งมั่นที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขา”

เมื่อถูกถามขณะอยู่บนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน เพื่อขอความชัดเจน ทรัมป์ตอบว่าเขา "มุ่งมั่นที่จะช่วยรักษาชีวิต" และ "มุ่งมั่นต่อชีวิตและความปลอดภัย" แต่ไม่ได้ขยายความเพิ่มเติม โดยบอกว่าเขาไม่อยากพูดรายละเอียดเพิ่มเติมในขณะที่อยู่บนเครื่องบิน

หลักการป้องกันร่วมกันของนาโต ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 5 ถือเป็น “รากฐาน” ของพันธมิตรทางการทหารที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันในการรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดจากอดีตสหภาพโซเวียต 

มาร์ก รุตเต เลขาธิการนาโต ซึ่งต่อมาถูกนักข่าวกดดัน กล่าวว่าเขาไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่มีต่อนาโตและการรับประกันตามมาตรา 5

การเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ

วาระการประชุมสุดยอดครั้งนี้เป็นหัวข้อหลักคือข้อตกลงที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศอย่างมีนัยสำคัญทั่วทั้ง 32 ประเทศสมาชิก ซึ่งสืบเนื่องจากคำวิจารณ์ที่ชัดเจนจากรัฐบาลทรัมป์ที่กล่าวว่าสหรัฐฯ แบกรับภาระด้านการทหารมากเกินไปแทนสมาชิกอื่นๆของนาโต

ทรัมป์เรียกร้องให้พันธมิตรนาโตเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็นร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายปัจจุบันที่ร้อยละ 2 เขาตั้งคำถามว่าพันธมิตรควรปกป้องประเทศที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการใช้จ่ายหรือไม่ และยังขู่ที่จะออกจากกลุ่มด้วยซ้ำ

 

ด้านนางอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงเฮก ก่อนการประชุมสุดยอดในวันอังคารว่า สมาชิกนาโตเตรียมอนุมัติ “เป้าหมายการใช้จ่ายครั้งประวัติศาสตร์” ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้

เธอกล่าวว่า “โครงสร้างความมั่นคงที่เราพึ่งพามานานหลายทศวรรษนั้นไม่สามารถรับประกันได้อีกต่อไป” และอธิบายว่าเป็น “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในหนึ่งชั่วอายุคน”

เธอกล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ยุโรปได้ดำเนินการ ซึ่งดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เมื่อหนึ่งปีก่อน ในที่สุดยุโรปตื่นตัวด้านการป้องกันประเทศแล้ว”

ก่อนการประชุมสุดยอด รุตเตเน้นย้ำว่าสหรัฐฯ มี “ความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่” ต่อพันธมิตร แต่เขาตั้งข้อสังเกตว่าความมุ่งมั่นดังกล่าวมาพร้อมกับความคาดหวังว่าการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศจะเพิ่มขึ้น

ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้เผยแพร่ภาพหน้าจอข้อความส่วนตัวของรุตเตขณะอยู่บนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน เพื่อเดินทางไปยังกรุงเฮก โดยระบุว่า “โดนัลด์ คุณได้นำเราไปสู่ช่วงเวลาที่สำคัญจริงๆ สำหรับอเมริกา ยุโรป และโลก คุณจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ไม่มีประธานาธิบดีอเมริกันคนใดในรอบหลายทศวรรษสามารถทำได้”

“ยุโรปจะต้องจ่ายเงินก้อนโตอย่างที่ควรจะเป็น และนั่นจะเป็นชัยชนะของคุณ” รุตเตเขียน เลขาธิการนาโตยืนยันว่าเขาได้ส่งข้อความดังกล่าวถึงทรัมป์เป็นการส่วนตัวจริง

แรงกดดันจากสหรัฐฯ

เมื่อต้นเดือนนี้ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้ส่งคำขาดถึงรัฐมนตรีกลาโหมของนาโตในการประชุมที่กรุงบรัสเซลส์ โดยระบุว่าการให้คำมั่นว่าจะใช้จ่าย 5 %ของ GDP “จะต้องเกิดขึ้นภายในการประชุมสุดยอดที่กรุงเฮก”

เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันดังกล่าว รุตเตจะขอให้ประเทศสมาชิกในการประชุมสุดยอดอนุมัติเป้าหมายใหม่ 5 %ของ GDP สำหรับงบประมาณกลาโหมภายในปี 2032 โดย 3.5 % จะใช้จ่ายสำหรับการใช้จ่ายหลักด้านกลาโหม และส่วนที่เหลือจะจัดสรรให้กับ การใช้จ่ายที่สำคัญรองลงมาคือโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัยทางไซเบอร์

ในปี 2023 ผู้นำ NATO ตกลงที่จะเพิ่มเป้าหมายการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศจาก 1.5 % เป็น 2 % ของ GDP เพื่อตอบสนองต่อสงครามของรัสเซียกับยูเครน อย่างไรก็ตาม มีเพียง 22 ประเทศจาก 32 ประเทศของพันธมิตรเท่านั้นที่บรรลุเป้าหมายที่ปรับใหม่แล้ว

ในขณะที่บางประเทศ เช่น สเปน คัดค้านข้อเสนอการปรับขึ้นล่าสุดโดยเห็นว่าไม่สมจริง แต่สมาชิกอื่นๆ ได้ประกาศแผนการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหารอย่างมากเพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนไป

ในการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศครั้งสำคัญที่กรุงเบอร์ลินเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช เมิร์ซ กล่าวว่า เยอรมนีจะเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อให้เป็น "กองทัพแบบดั้งเดิมที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป" ไม่ใช่เพื่อให้วอชิงตันพอใจ แต่เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามจากรัสเซีย

"เราต้องกลัวว่ารัสเซียต้องการขยายการทำสงครามต่อไปนอกเหนือยูเครน" เขากล่าว

"เราต้องเข้มแข็งร่วมกันมากพอที่จะไม่มีใครกล้าโจมตีเรา"

รัสเซียชี้ นาโต "ถูกสร้างขึ้นเพื่อการเผชิญหน้า"

การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะมีผู้นำจาก 32 ประเทศสมาชิกของพันธมิตรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าร่วม พร้อมด้วยผู้นำของประเทศพันธมิตรของนาโต ซึ่งรวมทั้งญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และยูเครน

แม้ว่าเคียฟจะไม่ใช่สมาชิกของพันธมิตร แต่เครมลินระบุว่าความปรารถนาที่จะเข้าร่วมนาโตเป็นหนึ่งในเหตุผลที่รัสเซียโจมตียูเครนในปี 2022

เมื่อวันอังคาร ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซียกล่าวว่ามอสโกไม่มีแผนโจมตีนาโต แต่เป็นการ "เสียเปล่า" ที่จะรับประกันนาโตในเรื่องนี้ เนื่องนาโตตัดสินรัสเซียแล้วว่าเป็น “ปีศาจแห่งนรก”

เปสคอฟกล่าวว่า “นี่คือพันธมิตรที่สร้างขึ้นเพื่อการเผชิญหน้า ... ไม่ใช่เครื่องมือแห่งสันติภาพและเสถียรภาพ”

สหภาพโซเวียตเป็นผู้นำของสนธิสัญญาวอร์ซอ ซึ่งเป็นพันธมิตรของชาติคอมมิวนิสต์กลุ่มยุโรปตะวันออกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1955 เพื่อถ่วงดุลกับนาโต แต่สนธิสัญญานี้ล่มสลายลงในปี 1991 เมื่อสิ้นสุดสงครามเย็น ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ได้ตั้งเป้าหมายที่จะฟื้นฟูมอสโกให้เป็นกองกำลังต่อต้านนาโตและภัยการรุกล้ำพรมแดนและความมั่นคงรัสเซีย