‘อินโดนีเซีย’ ลดงบนโยบายอาหารฟรีลง 22% หวังคลายกังวลนักลงทุน

‘อินโดนีเซีย’ ลดงบนโยบายอาหารฟรีลง 22% หวังคลายกังวลนักลงทุน

‘อินโดนีเซีย’ ลดงบนโยบายอาหารฟรีลง 22% หรือประมาณ 6.9 แสนล้านบาทในปีหน้า ใช้งบเยอะสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก หวังคลายกังวลนักลงทุน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “อินโดนีเซีย” ได้ปรับลดแผนการใช้งบประมาณสำหรับโครงการอาหารฟรีลงแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นนโยบายโครงการอาหารที่ใช้งบประมาณแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ขณะเดียวกันประธานาธิบดี “ปราโบโว ซูเบียนโต” ยังคงผลักดันโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ อีกหลายโครงการ

ดาดัน ฮินดายานา หัวหน้าสำนักงานโภชนาการแห่งชาติที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเปิดเผยว่า อินโดนีเซียลดงบโครงการแจกอาหารฟรีลง 22% เหลือประมาณ 21,400 ล้านดอลลาร์  หรือประมาณ  6.9 แสนล้านบาทในปีหน้า รวมทั้งคาดการณ์ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการอาหารฟรีในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7.5 พันล้านดอลลา ซึ่งลดลงถึง 29% จากแผนเดิมที่วางไว้

ปราโบโว ยอมรับว่าโครงการแจกอาหารฟรีนี้มีความท้าทาย แต่เขามองว่านี่คือ การลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตของอินโดนีเซีย  "หลายคนแสดงความเห็นเชิงลบเกี่ยวกับโครงการอาหารฟรี และมองว่ามันเป็นโครงการที่เป็นไปไม่ได้" และเสริมว่า "เราต้องพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาคิดผิด"

โครงการอาหารฟรีอินโดนีเซีย: ติดอันดับ 2 ของโลก

โครงการอาหารฟรีของอินโดนีเซียมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยเป็นรองเพียงแค่สหรัฐเท่านั้น

‘อินโดนีเซีย’ ลดงบนโยบายอาหารฟรีลง 22% หวังคลายกังวลนักลงทุน

ข้อมูลจาก Global Child Nutrition Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจากซีแอตเทิลที่สำรวจโครงการลักษณะนี้ ระบุว่าสหรัฐได้ตั้งงบประมาณสำหรับค่าอาหารในปีการศึกษาที่สิ้นสุดลงในปี 2566 ไว้ที่ 29,400 ล้านดอลลาร์ ส่วนโครงการที่ใช้งบประมาณมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในปีนั้นคือ ฝรั่งเศส ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ 

ความท้าทายของโครงการอาหารฟรี 

หนึ่งในความท้าทายสำคัญของโครงการอาหารฟรีแก่ 83 ล้านคนนี้คือ การจัดหาวัตถุดิบอาหารให้เพียงพอ โดยฮินดายานากล่าวว่า โครงการจะเน้นใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เช่น ไข่ ไก่ ปลา ผัก และผลไม้

แต่ทว่าความต้องการนมจะสูงเกินกว่าปริมาณที่มีอยู่ในประเทศในไม่ช้า เพื่อแก้ปัญหานี้ รัฐบาลอินโดนีเซีย จึงมีแผนใหญ่ที่จะ นำเข้าวัวนมมากถึง 1.5 ล้านตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้จำนวนวัวนมในประเทศเพิ่มขึ้นได้ถึง 3 เท่า  โดยวัวนมเหล่านี้จะถูกนำเข้ามาจากหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บราซิล สหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในยุโรป