เช็กสถานะ ‘นาโต’ อยากใช้จ่ายกลาโหม 5% ของ GDP ทำได้แค่ไหน?

เช็กสถานะสมาชิกนาโต จะสามารถใช้จ่ายด้านกลาโหมถึง 5% ของ GDP ได้หรือไม่ แม้บางประเทศตั้งเป้าไว้ แต่ยังมีหลายประเทศที่ยังคงห่างไกลจากเป้าหมาย
ก่อนการประชุมสุดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (การประชุมนาโต) ในช่วงวันที่ 24-25 มิ.ย. นี้ บรรดาพันธมิตรนาโตให้คำมั่นเมื่อวันอาทิตย์ (22 มิ.ย.) ว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณกลาโหมสู่ระดับ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ภายในปี 2025 แต่จะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้หรือไม่นั้นยังไม่มีความแน่ชัด
ซีเอ็นบีซีระบุว่า ตัวเลข 5% นั้นประกอบไปด้วยการใช้จ่ายกลาโหมล้วนๆ 3.5% ของจีดีพี ซึ่งราว 1.5% ของจีดีพีจะเป็นการใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคง เช่น ความสามารถด้านสงครามไซเบอร์และช่าวกรอง
ความเคลื่อนไหวของชาติพันธมิตรทางทหารตะวันตกเมื่อวันอาทิตย์ แสดงให้เห็นว่า สมาชิกพร้อมให้คำมั่นต่อสาธารณะ และตอบสนองความต้องการของรัฐบาลสหรัฐที่เรียกร้องให้พันธมิตรช่วยแบ่งเบาภาระในด้านกลาโหมและความมั่นคง
แต่จากข้อมูลอ้างอิงจากคาดการณ์การใช้จ่ายกลาโหมของสมาชิกนาโตในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า เป้าหมายใช้จ่ายทางทหาร 5% ของจีดีพี เป็นเป้าหมายที่สูงมาก สำหรับประเทศสมาชิก 32 ประเทศ ที่กำลังประสบปัญหาการใช้จ่ายกลาโหมให้ได้ตามเป้าที่ระดับ 2% ของจีดีพี
การใช้จ่ายกลาโหมเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับสมาชิกนาโตมาช้านาน และเป็นเรื่องกวนใจเรื่อยมาสำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ที่ต้องการให้พันธมิตรเพิ่มเป้าหมายการใช้จ่ายจาก 2% สู่ระดับ 4% ของจีดีพีตั้งแต่ปี 2018
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายกลาโหมของนาโตก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.ก่อนหน้านี้
ในช่วงนั้น มีสมาชิกเพียง 6 รัฐที่ใช้จ่ายกลาโหมถึง 2% ของจีดีพีถือเป็นช่วงที่สร้างความไม่พอใจต่อปธน.สหรัฐในขณะนั้นมากที่สุด แต่ในปี 2023 มีสมาชิกมากถึง 23 รายที่บรรลุเป้าหมายการใช้จ่ายกลาโหม 2% ของจีดีพี
ขณะที่บางประเทศมีการใช้จ่ายเกินเป้าหมายอย่างมาก เช่น โปแลนด์ เอสโตเนีย สหรัฐ ลัตเวีย และกรีก ส่วนประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น แคนาดา สเปน และอิตาลี กลับใช้จ่ายต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด
และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสมาชิกนาโตรายใดที่บรรลุเป้าหมายการใช้จ่ายกลาโหม 5% ของจีดีพี และบางประเทศมีแนวโน้มสูงที่จะชะลอเป้าหมายดังกล่าวออกไป
สำรวจความพร้อมสมาชิกนาโต
สเปนได้คัดค้านการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม โดยเปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปน กล่าวว่า มาดริดจะไม่ใช้จ่ายกลาโหมถึง 5% ของจีดีพี และจะใช้จ่ายเพียง 2.1% ของจีดีพี ตามข้อกำหนดทางการทหารของนาโต
“เราเคารพความปรารถนาอันชอบธรรมของประเทศอื่นๆ ที่ต้องการเพิ่มการลงทุนด้านกลาโหมอย่างเต็มที่ แต่เราจะไม่ทำเช่นนั้น” ซานเชซให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ของสเปน และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซานเชซกล่าวว่า การเพิ่มค่าใช้จ่ายทางทหารไม่เพียงแต่ “ไม่สมเหตุสมผลเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียอีกด้วย”
อิตาลี ก็เป็นอีกประเทศที่ประสบปัญหาให้การบรรลุเป้าหมายใช้จ่ายกลาโหม 5% ของจีดีพี โดยเมื่อเดือนพ.ค. อิตาลีเผยว่า เพิ่งบรรลุการใช้จ่ายกลาโหม 2% ของจีดีพี และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กีโด โครเซตโต รัฐมนตรีกลาโหมอิตาลี ได้ตั้งคำถามถึงความเกี่ยวข้องกันของพันธมิตร และกล่าวว่า NATO ในปัจจุบัน "ไม่มีเหตุผลที่จะดำรงอยู่ต่อไป”
ขณะที่แคนาดาเผยว่า ประเทศจะใช้จ่ายกลาโหมถึง 2% ภายในเดือนมี.ค. 2026 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เลื่อนออกไปอีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยบอกไว้ว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2023
แม้หลายประเทศให้คำมั่นจะใช้จ่ายกลาโหมถึง 5% ของจีดีพีอย่างเช่น เยอรมนี และสหราชอาณาจักร แต่ก็อาจประสบปัญหาในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เนื่องจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจในบ้าน
อังกฤษ ได้ประกาศจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวล่าช้าไปอีก 3 ปี ซีเอ็นบีซีได้ติดต่อขอความเห็นจากรัฐบาลอังกฤษแล้วแต่ยังไม่ได้ตอบกลับ
ขณะที่เอสโตเนีย ประเทศซึ่งมีพรมแดนติดกับรัสเซียได้อนุมัติการลงทุนในโครงการด้านกลาโหม ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายกลาโหมประจำปีสู่ระดับเฉลี่ย 5.4% ของจีดีพี ตั้งแต่ปี 2026-2029
คาร์สเทน นิกเกิล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย จากบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทีนีโอ (Teneo) แสดงความคิดเห็นผ่านอีเมลเมื่อวันจันทร์ (23 มิ.ย.) ว่า การกระจายการใช้จ่ายด้านการทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภูมิภาคของทวีปยุโรปอาจทำให้เกิดความขัดแย้งในการประชุมสุดยอดในสัปดาห์นี้
“อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศที่เพิ่มมากขึ้นสามารถรับมือความท้าทายต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น” นิกเกิลกล่าว และย้ำว่าความขัดแย้งในเรื่องการแบ่งเบาภาระด้านการทหาร การขาดดุลการค้า และนโยบายจีนยังคงคุกคามความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรอีกด้วย
อ้างอิง: CNBC







