FDI สหรัฐไตรมาสแรกดิ่งเหว ต่ำสุดตั้งแต่โควิด  ‘ภาษีทรัมป์’ ฉุดการลงทุน

FDI สหรัฐไตรมาสแรกดิ่งเหว ต่ำสุดตั้งแต่โควิด   ‘ภาษีทรัมป์’ ฉุดการลงทุน

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของ ‘สหรัฐ’ ไตรมาสแรกดิ่งเหว ต่ำสุดตั้งแต่โควิด  เซ่นพิษ ‘ภาษีทรัมป์’ ฉุดการลงทุน สู่ตัวเลขขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ แถลงวานนี้ (24 มิ.ย.) ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)  ที่เข้ามาในสหรัฐในช่วงไตรมาสแรกลดลงอย่างรวดเร็วกว่า 33.92% เหลือ 52,800 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่เคยสูงถึง 79,900 ล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567  ซึ่งการลดลงนี้เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาษีของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์

FDI สหรัฐไตรมาสแรกดิ่งเหว ต่ำสุดตั้งแต่โควิด   ‘ภาษีทรัมป์’ ฉุดการลงทุน

นอกจากนี้ FDI ที่ไหลเข้าสหรัฐในรูปตัวเงิน “ดอลลาร์” อยู่ในระดับต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2565 ที่เคยอยู่ที่ระดับ 42,400 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การลดลงของการลงทุนนี้อาจเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการลงทุนด้านการผลิตขนาดใหญ่หลายโครงการที่บริษัทต่างชาติได้ประกาศไว้ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการในสหรัฐ

นอกจากนี้ การที่บริษัท Nippon Steel จากญี่ปุ่นเข้าซื้อกิจการบริษัท US Steel ของสหรัฐด้วยมูลค่าเกือบ 15,000 ล้านดอลลาร์จะส่งผลให้ตัวเลขการลงทุนในไตรมาสปัจจุบันและในอนาคตเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

FDI  ฉุดสหรัฐขาดดุลเพิ่ม

ตัวเลข FDI ที่ลดลงทำให้ให้บัญชีเดินสะพัดของสหรัฐขาดดุลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไปสู่ระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 4.50 แสนล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักมาจากการที่ธุรกิจต่างๆ เร่งนำเข้าสินค้าจำนวนมาก ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษีศุลกากร 

นอกจากนี้ สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังได้แก้ไขตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสำหรับไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วให้สูงขึ้นด้วย โดยระบุว่ามีการขาดดุลจริงอยู่ที่ 312,000 ล้านดอลลาร์ แทนที่จะเป็น 303,900 ล้านดอลลาร์  

กังวล ‘ภาษีทรัมป์’ ฉุดการลงทุน

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนออกมาเตือนว่า ความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับนโยบายภาษีของทรัมป์ อาจทำให้บริษัทต่างๆ ชะลอการตัดสินใจลงทุน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงได้ 

แต่ทางด้านทรัมป์เองกลับแย้งว่า ภาษีที่เขากำหนดขึ้นนั้น จะกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ แห่กันเข้ามาลงทุนในสหรัฐเพื่อย้ายฐานการผลิตกลับเข้ามาในประเทศ และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีที่สูงขึ้น

ในเรื่องนี้ Paul Ashworth หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จาก Capital Economics ได้ให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่ความไม่แน่นอนนี้อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของบางบริษัทจริง อย่างไรก็ตาม เขายังเตือนด้วยว่า FDI  แบบรายไตรมาสนั้น เป็นข้อมูลที่มีความผันผวนในตัวเองสูงอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับธุรกรรมเฉพาะเจาะจง เช่น การควบรวมกิจการ การซื้อกิจการ หรือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ เป็นหลัก

Ashworth มองว่า “การลดลงของ FDI ในไตรมาสแรกนั้น ไม่น่าจะเป็นสัญญาณของปัญหาใหญ่หรือแนวโน้มที่น่ากังวลในระยะยาว แต่เป็นเพียงความผันผวนชั่วคราว หรือ "เสียงรบกวน" ที่อาจเกิดขึ้นได้ตามปกติในข้อมูลประเภทนี้”

ทั้งนี้ Ashworth  คาดหวังว่าตัวเลข FDI  จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสต่อๆ ไป เนื่องจากโครงการลงทุนด้านการผลิตของสหรัฐที่ประกาศโดยผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นและต่างชาติรายอื่นๆ เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทั้งบริษัท ฮุนได มอเตอร์ และฮุนไดสตีลของเกาหลีใต้