Blockchain & Web3 ต่ออายุวงการ ‘อนิเมะญี่ปุ่น’ I Creative Economy

ภายใต้ผู้นำอุตสาหกรรมอนิเมะโลกของ 'ญี่ปุ่น' กลับแฝงไปด้วยปัญหาเรื้อรังมากมาย โดยเฉพาะ “ความเหลื่อมล้ำ” ระหว่างผู้สร้างต้นฉบับกับคนกลางและแพลตฟอร์มต่างชาติ

ญี่ปุ่นเคยครองสถานะ “อาณาจักรแห่งอนิเมะ” บนเวทีโลกอย่างมั่นคง ด้วยภาพลักษณ์แห่งความคิดสร้างสรรค์และอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ยากจะมีใครเทียบ ทว่าภายใต้ความรุ่งเรืองนั้นกลับซ่อนปัญหาเรื้อรังไว้มากมาย โดยเฉพาะ “ความเหลื่อมล้ำ” ระหว่างผู้สร้างต้นฉบับกับคนกลางและแพลตฟอร์มต่างชาติ

ปี 2023 เพียงปีเดียว อุตสาหกรรมอนิเมะญี่ปุ่นทำรายได้ทั่วโลกสูงถึง 19.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดต่างประเทศขยายตัวจนแซงหน้าภายในประเทศอย่างชัดเจน

แต่ในความสำเร็จนั้น สตูดิโอและทีมงานกลับเผชิญความจริงอันโหดร้าย ทั้งค่าจ้างต่ำ แรงงานขาดแคลน และไม่มีสิทธิ์ในผลงานที่ตนมีส่วนร่วม หลายสตูดิโอถูกจองงานยาวถึงปี 2026 แต่กลับเผชิญกับแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะเมื่อเงินเยนอ่อนค่า ทำให้รายได้จากงานต่างชาติหดตัวลง

 

ขณะเดียวกัน “ปัญหาลิขสิทธิ์ในโลกดิจิทัล” ยิ่งซับซ้อนขึ้น ผลงานจากสตูดิโอระดับตำนานอย่าง Studio Ghibli สไตล์ของลายเส้นยังถูกนำไปสร้างภาพผ่าน Generative AI โดยไม่ได้รับอนุญาต สะท้อนให้เห็นว่าระบบที่มีอยู่ยังไม่สามารถปกป้องสิทธิผู้สร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Blockchain & Web3 ต่ออายุวงการ ‘อนิเมะญี่ปุ่น’ I Creative Economy

ในบริบทนี้แนวคิด “Web3”  จึงถูกพูดถึงในฐานะความหวังใหม่สำหรับอุตสาหกรรม โดยเน้นการคืนอำนาจให้ผู้สร้างผ่านโครงสร้างแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง โดยมีบล็อกเชนทำหน้าที่เป็นสมุดบัญชีดิจิทัลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และแก้ไขย้อนหลังไม่ได้ ขณะที่ Smart Contract ช่วยให้การแบ่งรายได้เป็นไปอย่างอัตโนมัติและยุติธรรม ทุกครั้งที่มีการใช้งานผลงานในรูปแบบดิจิทัล เช่น NFT หรือ Token เจ้าของผลงานจะได้รับค่าตอบแทนตามสัดส่วนทันที

Blockchain & Web3 ต่ออายุวงการ ‘อนิเมะญี่ปุ่น’ I Creative Economy

หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ อนิเมะเรื่อง “Make a Girl” ผลงานของเก็นโช ยาสุดะ ศิลปินอิสระที่มีผู้ติดตามบน TikTok กว่า 2.5 ล้านคน โปรเจกต์นี้ตั้งเป้าระดมทุน 10 ล้านเยน หรือประมาณ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการผลิตและจ้างทีมแอนิเมเตอร์ พวกเขานำ Web3 มาใช้สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างผู้ชมกับศิลปินผ่าน NFT การเปิดสิทธิ์ให้เข้าถึงคอนเทนต์ก่อนใคร หรือแม้แต่โหวตทิศทางเนื้อเรื่อง ถือเป็นรูปแบบใหม่ของการระดมทุนที่ให้แฟน ๆ มีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสรรค์และผลตอบแทนอย่างจริงจัง

อย่างไรก็ดี การนำ Web3 ไปใช้อย่างเต็มรูปแบบในญี่ปุ่นยังติดข้อจำกัดทางกฎหมายและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขาย NFT ยังเสี่ยงถูกตีความว่าเข้าข่ายการพนัน ที่สำคัญญี่ปุ่นยังขาดองค์กรกลางที่กำกับดูแล NFT หรือ DAO (Decentralized Autonomous Organization) อย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้เล่นขนาดเล็กไม่กล้าเสี่ยงเข้าตลาด

ญี่ปุ่นเริ่มขยับตามแนวทางนี้อย่างชัดเจนขึ้น โดยเผยแพร่เอกสาร Web3 White Paper ปี 2024 ที่ระบุถึงการกำหนดให้งาน NFT ที่มีมูลค่าต่อชิ้นเกิน 1,000 เยน และมีจำนวนไม่เกินหนึ่งล้านชิ้น ไม่ถูกจัดเป็นสินทรัพย์คริปโท ช่วยให้ศิลปินมีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการผลักดันให้ DAO สามารถจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้โปรเจกต์สร้างสรรค์สามารถระดมทุนจากผู้สนับสนุน และบริหารงานโดยให้ผู้ถือ Token มีสิทธิมีเสียงอย่างโปร่งใส

หากรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ร่วมกับภาคเอกชน เช่น การจัดตั้งระบบจัดเก็บภาษีจากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างชาติ เพื่อนำมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน Web3 หรือแม้แต่การจัดตั้งสมาคมกลางด้านคอนเทนต์ดิจิทัล เพื่อดูแลมาตรฐาน สิทธิ และผลประโยชน์ของผู้สร้างอย่างเป็นระบบ ก็มีแนวโน้มสูงที่ญี่ปุ่นจะสามารถฟื้นคืนบทบาทความเป็นผู้นำในเวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับโลกได้อีกครั้ง

สำหรับ “ไทย” แม้โครงสร้างอุตสาหกรรมอาจยังไม่ใหญ่เท่า แต่เรามีเครื่องมือสำคัญที่ช่วยรักษาสิทธิของนักสร้างสรรค์ได้ตั้งแต่ต้นน้ำ นั่นคือ แพลตฟอร์ม Creative Asset Platform (CAP) จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถอัปโหลดไอเดีย ร่างแบบ หรือผลงานสำเร็จรูป เพื่อประทับเวลา (Timestamp) และรับใบรับรองแบบเรียลไทม์ที่ออกจากบล็อกเชน ใช้เป็นหลักฐานยืนยันสิทธิ์เมื่อเกิดข้อพิพาท หรือแม้แต่เป็นเครื่องมือต่อยอดทางธุรกิจ ผู้สนใจสามารถเข้าใช้งานได้ฟรี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ผ่านเว็บไซต์ https://cap.cea.or.th