รัฐอ่าวอาหรับผวาสงครามลุกลาม หลังสหรัฐโจมตีนิวเคลียร์อิหร่าน

รัฐอ่าวอาหรับผวาสงครามอิสราเอล-อิหร่านลุกลาม หลังสหรัฐโจมตีฐานนิวเคลียร์อิหร่านในวันอาทิตย์ หวั่นความมั่นคงของภูมิภาคจะถูกสั่นคลอนมากยิ่งขึ้น จากภัยต่างๆ
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (22 มิ.ย.) ว่า เพื่อนบ้านอาหรับของอิหร่านเรียกร้องให้ใช้ความยับยั้งชั่งใจและเตือนถึงผลกระทบร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ หลังจากสหรัฐโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของเตหะราน ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดสงครามเต็มรูปแบบในตะวันออกกลาง
ในแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ กระทรวงต่างประเทศของซาอุดีอาระเบียประณามการละเมิดอำนาจอธิปไตยของอิหร่าน กาตาร์เตือนว่าการกระทำดังกล่าวจะ "ส่งผลร้ายแรง" และโอมานเรียกการกระทำดังกล่าวว่า "ผิดกฎหมาย" ประเทศเหล่านี้และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ใช้เวลาหลายเดือนในการพยายามใช้อิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน
พวกเขาใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์นับตั้งแต่ที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีเตหะรานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเมื่อวันศุกร์ 13 มิ.ย. เพื่อพยายามไม่ให้สหรัฐเข้าแทรกแซงโดยตรง เหตุการณ์สหรัฐโจมตีอิหร่านในวันอาทิตย์นี้ (ประมาณ 02.10 น.ตามเวลาท้องถิ่นอิหร่าน) แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นตัวประกันของกองกำลังที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขามากเพียงใด
“ผมไม่คิดว่ารัฐอ่าวอาหรับจะมีอำนาจควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มากนักในขณะนี้” ฮัสซัน อัลฮาซาน นักวิจัยอาวุโสด้านนโยบายตะวันออกกลางที่สถาบัน IISS ในกรุงมานามา ประเทศบาห์เรน กล่าว “ไม่มีการรับประกันว่าฝ่ายที่ทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน อิสราเอล หรือสหรัฐฯ จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของอ่าวอาหรับ”
ในการแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านกล่าวว่าเขาได้พูดคุยกับผู้แทนจากทั่วภูมิภาคในวันก่อนหน้า ซึ่งพวกเขา “กังวลเกี่ยวกับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากสหรัฐฯ”
“พวกเขาเกือบทั้งหมดกังวลและสนใจที่จะมีบทบาทในการยุติการรุกรานของอิสราเอลครั้งนี้” อับบาส อารักชีกล่าว
ในภูมิภาคนี้ มีหลักฐานของความวิตกกังวลที่เพิ่มมากขึ้น โดยผู้คนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และคูเวตเริ่มกักตุนเสบียง ในขณะเดียวกัน บริติช แอร์เวย์สได้หยุดเที่ยวบินไปดูไบและโดฮา ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสองแห่งของภูมิภาค
ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ไปเยือนซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในการเดินทางต่างประเทศตามกำหนดการครั้งแรกของเขาตั้งแต่กลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง ในการเยือนเดือนนั้นทรัมป์กล่าวถึงศักยภาพของการค้าและการลงทุนระหว่างสหรัฐและกลุ่มประเทศรอบอ่าวอาหรับที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์
ผู้นำกำลัง “การสร้างอนาคตที่ตะวันออกกลางถูกกำหนดโดยการค้า ไม่ใช่ความวุ่นวาย” ทรัมป์กล่าวในเมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย “ที่ซึ่งผู้คนจากหลายชาติ ศาสนา และความเชื่อที่แตกต่างกันกำลังสร้างเมืองร่วมกัน ไม่ใช่ทิ้งระเบิดกันเพื่อกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นไป เราไม่ต้องการแบบนั้น”
รัฐอ่าวอาหรับถูกมองข้าม
กลุ่มประเทศรอบอ่าวอาหรับพยายามใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ พวกเขาทำหน้าที่เป็นคนกลางที่สำคัญระหว่างการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน โดยเรียกร้องให้ทำข้อตกลงเพื่อประโยชน์ของเสถียรภาพในภูมิภาคและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
แต่ผู้เล่นหลักทั้งสามคนคือ ทรัมป์ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู และผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ดูเหมือนจะไม่ยอมรับความพยายามไกล่เกลี่ยของประเทศเหล่านี้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
อิสราเอลและอิหร่านยิงขีปนาวุธกันไปมาอย่างต่อเนื่องหลายวัน ขณะที่ทรัมป์แสดงความกังวลต่อความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงในสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ในที่สุดเขาก็เดินหน้าใช้มาตรการทางทหารต่อไป แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ในกลุ่มประเทศดังกล่าวยอมรับว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดำเนินการทางการทูตต่อไป เนื่องจากเป็นประเทศในแนวหน้าที่อาจจะได้รับความเสียหายอย่างมาก หากเกิดความขัดแย้งลุกลามเป็นวงกว้าง ประเทศเหล่านี้มีทหารสหรัฐหลายหมื่นนายประจำการ และฐานทัพสำคัญ พวกเขากังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมัน และกลัวว่าอาจมีการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจากฐานนิวเคลียร์ของเพื่อนบ้าน
สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออี) ได้เตือนมานานแล้วว่าไม่ควรโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านด้วยเหตุผลดังกล่าว
ความกังวลอื่นๆ ได้แก่ การโจมตีของอิหร่านหรือการโจมตีตัวแทนต่อผลประโยชน์ของสหรัฐในอ่าวอาหรับ โดยกลุ่มฮูตีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเตหะรานในเยเมนเมื่อเช้าวันอาทิตย์ได้ประณามการโจมตีของสหรัฐ และย้ำถึงความพร้อมที่จะโจมตีเรือสหรัฐและเรือรบสหรัฐในทะเลแดง
หากสาธารณรัฐอิสลามใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นทางผ่านการค้าขายน้ำมันประมาณหนึ่งในสี่ของโลก ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งสูงถึง 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามรายงานของหน่วยวิเคราะห์เศรษฐกิจของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
“ความท้าทายหลักของประเทศในอ่าวอาหรับคือการป้องกันไม่ให้ความรุนแรงในภูมิภาคเข้ามาครอบงำดินแดนของพวกเขา ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ ไว้ด้วย” เอบเตซาม อัล-เกทบี หัวหน้าศูนย์นโยบายเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยที่ตั้งอยู่ในอาบูดาบี กล่าว “พวกเขาน่าจะดำเนินนโยบายที่ยับยั้งชั่งใจอย่างเป็นรูปธรรม เพิ่มความพร้อมด้านการป้องกันประเทศ และปรับสมดุลทางการทูตเพื่อลดผลกระทบ”
แม้ว่าประเทศในอ่าวอาหรับจะแสดงความยินดีกับสิ่งใดก็ตามที่ทำให้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านต้องล่าช้าออกไป แต่ก็ยังคงหวาดกลัวต่อแนวโน้มที่จะเกิดสุญญากาศทางอำนาจในเตหะรานและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอันโกลาหลที่อาจเกิดขึ้น ตามที่เจ้าหน้าที่ในภูมิภาคกล่าวโดยไม่ยอมเปิดเผยชื่อ
รวมทั้งยังคงมีความเสี่ยงที่การก่อการร้ายและสงครามนิกายทางศาสนาที่เกิดขึ้นหลังสงครามอิรักในปี 2546 และเหตุการณ์อาหรับสปริงนั้นจะกลับมาเกิดขึ้นอีก
สถานการณ์ข้างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอิหร่าน
การตัดสินใจในกรุงเตหะรานในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะเป็นสิ่งสำคัญ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน อารักชี ระบุการโจมตีของสหรัฐฯ ว่า "อุกอาจ" และเสริมว่า "อิหร่านสงวนทางเลือกทั้งหมดเพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตย ผลประโยชน์ และประชาชนของตน"
อย่างไรก็ตาม ผู้นำอิหร่านจะต้องชั่งน้ำหนักทางเลือกในการตอบโต้ เพราะสหรัฐฯ ขู่ที่จะโจมตีอิหร่านเพิ่มเติมอีก
“เป้าหมายของเราคือการทำลายขีดความสามารถในการเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ของอิหร่านและหยุดยั้งภัยคุกคามนิวเคลียร์ที่เกิดจากรัฐผู้ให้การสนับสนุนการก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก” ทรัมป์โพสต์ลงบนโซเชียลมีเดีย “อิหร่านซึ่งเป็นผู้รังแกตะวันออกกลางจะต้องทำสันติภาพในตอนนี้ หากไม่ทำ การโจมตีในอนาคตจะรุนแรงมากขึ้นและเป็นไปอย่างอย่างง่ายดายมาก”
ความหวังของรัฐบาลต่างๆในภูมิภาคอ่าวอาหรับคือ คำเตือนเหล่านั้นจะช่วยป้องกันการตอบโต้ที่อาจคุกคามความมั่นคงของประเทศในอ่าวมากยิ่งขึ้น
“สำหรับทุกคนในภูมิภาค ตอนนี้ถึงเวลาที่จะรอด้วยใจจดใจจ่อและหวังว่าเตหะรานและวอชิงตันจะมีสติสัมปชัญญะมากขึ้น หลังจากที่ความรุนแรงครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว” ไรอัน โบลห์ล นักวิเคราะห์อาวุโสด้านตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือจากบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยง Rane Network กล่าว







