ฐานอำนาจการทหาร ‘สหรัฐ’ อิทธิพลเหนือขัดแย้ง ‘อิสราเอล - อิหร่าน’

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดเส้นตาย หลังตัดสินใจ อีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าเข้าร่วมสงครามทางอากาศระหว่างอิสราเอล - อิหร่าน แล้วความขัดแย้งจะยกระดับความรุนแรงอย่างไร
เมื่อเส้นตายที่ทรัมป์กำหนด จะเกิดขึ้นหลังกองทัพสหรัฐเตรียมยุทโธปกรณ์ทางทหารพร้อมสรรพในพื้นที่ หวังกดดันอิหร่าน ท่ามกลางความพยายามของยุโรปต้องการลดระดับความขัดแย้ง
หากสหรัฐเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการโจมตีทางอากาศ จะได้เห็นฐานทัพจำนวนมากของสหรัฐ ซึ่งปฏิบัติการอยู่ทั่วตะวันออกกลาง อาจสนับสนุนการโจมตีอิหร่าน ขณะเดียวกันก็อาจเป็นเป้าหมายของการตอบโต้โจมตีด้วยขีปนาวุธด้วย
เจ้าหน้าที่สหรัฐ 2 นาย เผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า สหรัฐได้ส่งเครื่องบินและเรือบางส่วนออกจากฐานทัพ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของอิหร่านแล้ว นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐในกาตาร์ ยังได้ออกประกาศเตือนเมื่อวันพฤหัสบดี (18 มิ.ย.)ว่า เจ้าหน้าที่ของสหรัฐจะไม่สามารถเข้าไปในฐานทัพอากาศอัลอูเดด ซึ่งเป็นฐานทัพทหารสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางได้ชั่วคราว โดยฐานทัพดังกล่าวตั้งอยู่ในทะเลทรายนอกกรุงโดฮา
นอกจากนี้ วอชิงตันได้เริ่มส่งเครื่องบินรบเพิ่ม รวมถึงเครื่องบินรบ F-16 F-22 และ F-35 ไปยังตะวันออกกลาง ตลอดจนเครื่องบินรบอื่นๆ และเสริมกองกำลังที่สามารถป้องกันเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และส่งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น โดรน ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่สหรัฐ
ตัวอย่างล่าสุด สหรัฐเพิ่มยุทโธปกรณ์ไปยังตะวันออกกลาง
เครื่องบินบรรทุกน้ำมันจำนวนมากถูกส่งไปยังยุโรปเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ขณะที่กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตียูเอสเอส นิมิตซ์ ซึ่งถูกส่งไปยังตะวันออกกลาง เข้าร่วมกับเรือยูเอสเอส คาร์ล วินสัน ที่ประจำการอยู่ใกล้ๆ แล้ว
เครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่ B-52 โดยภาพถ่ายผ่านดาวเทียมสามารถตรวจพบได้ที่ฐานทัพร่วมอังกฤษ-สหรัฐ บนหมู่เกาะชากอส
ทำไม อิสราเอลต้องเป็นสหรัฐ โจมตีอิหร่าน
ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า การที่อิสราเอลมีอำนาจเหนือน่านฟ้าอิหร่านได้ ก็แทบไม่มีอุปสรรคใดๆ ขวางการเพิ่มโจมตีที่มีมากขึ้น แต่อิสราเอลจะเจออุปสรรค ในการโจมตีแหล่งเสริมกำลังนิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่าน หากสหรัฐไม่เข้าร่วมโจมตีด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ของอิหร่าน ซึ่งในรายงานสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ระบุว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับความเสียหายใดๆ จากการที่อิสราเอลโจมตีเลย
โรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ ต้องขุดไปใต้ภูเขา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตยูเรเนียมสำคัญ สามารถเสริมสมรรถนะถึง 60% ของอิหร่าน และยูเรเนียมดังกล่าวสามารถทำเป็นอาวุธได้
หัวใจโรงงานฟอร์โดว์แห่งนี้ อยู่ลึกลงไป 80 - 100 เมตร และไม่อาจเข้าถึงได้ง่าย ยกเว้นระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์อันทรงพลังที่สุดของสหรัฐ
ส่วนโรงงานเสริมสมรรถนะที่นาทานซ์อยู่ลึกลงไปใต้ดินกว่าฟอร์โดว์เสียอีก ซึ่ง IAEA ประเมิณว่า เมื่อครั้งอิสราเอลโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของโรงงานแห่งนี้ไปสัปดาห์ก่อน ได้ทำลายเครื่องกำเนิดพลังงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของโรงงาน แต่การทำลายโรงงานทั้งหมด เกินกว่าอำนาจปฏิบัติทางอากาศของอิสราเอล ที่จะทำได้เพียงลำพัง
หากทรัมป์ตัดสินใจให้กองกำลังสหรัฐโจมตีไซต์ เช่นฟาร์โดว์อาจเลือกที่จะส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ บี-2 สปิริต ของกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งมีศักยภาพมาก
เครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นนี้ มีความพิเศษสามารถเก็บอาวุธจำนวนมากภายในเครื่องบินทิ้งระเบิด ซึ่งได้รับการออกแบบมาขึ้นโดยเฉพาะ อาจรวมถึงระเบิดเจาะบังเกอร์ ขนาดใหญ่ GBU-57A/B จำนวน 2 เครื่อง รวมถึงระเบิด Bunker Buster นำวิถีด้วยความแม่นยำขนาด 30,000 ปอนด์
MOP ถือเป็นระเบิดธรรมดาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในคลังอาวุธของสหรัฐ ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อทำลายบังเกอร์ใต้ดินที่แข็งแรง ซึ่งขนาดที่ใหญ่โตของอาวุธนี้ทำให้สามารถเจาะทะลุบังเกอร์ได้อย่างไม่มีใครเทียบได้
ขณะที่อาวุธนี้มีความยาว 20.5 ฟุตและระบบกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำ ซึ่งนำทางโดย GPS ช่วยกำหนเป้าหมายโจมตีสิ่งช่วยอำนวยความสะดวกใต้ดินได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงสามารถเจาะทะลุคอนกรีตที่แข็งแรงกว่า 60 เมตร
ทั้งนี้ เพื่อทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงงานเสริมมรรถนะที่ฟาร์โดว์ ซึ่งอยู่ใต้ดินลึกถึง 100 เมตร เครื่องบินอาจต้องทิ้งระเบิด MOP หลายลูกติดต่อกัน
เป้าหมายในที่สุดของปฏิบัติใดๆของสหรัฐ หรืออิสราเอลคือ การทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงงานดังกล่าว หากแต่ไม่ได้รับประกันในการใช้ระเบิดที่มีพลังทำลายล้างสูงนี้
อันเดรส์ เคริจ อาจารย์อาวุโสแห่งคณะการศึกษาด้านความมั่นคงแห่งคิงคอลเลจ ลอนดอน กล่าวว่าแม้แต่ระเบิดทำลายล้างบังเกอร์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดของสหรัฐ ก็อาจไม่สามารถเจาะเข้าไปในฐานที่มั่นที่อยู่ลึกที่สุดของอิหร่านได้ ซึ่งในกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจเข้าร่วมการโจมตี ขอแนะว่า อาจจำเป็นต้องใช้กองกำลังพิเศษแบบคอมมานโดภาคพื้นดินเพื่อทำลายฐานที่มั่นเหล่านั้นให้สิ้นซาก
อ้างอิง Reuters