บริษัทโต แต่ทำไม ‘ปลดคนเพิ่ม’ เทรนด์ใหม่องค์กร มองคนมากไป คือ ภาระ?

บริษัทโต แต่ทำไม ‘ปลดคนเพิ่ม’ เทรนด์ใหม่องค์กร มองคนมากไป คือ ภาระ?

ในโลกยุคใหม่ จากที่เคยเชื่อว่าการเพิ่มพนักงาน คือสัญญาณการเติบโตและความมั่นใจในอนาคต แต่ปัจจุบัน ผู้นำองค์กรไม่น้อยกลับมองว่า “คนมากเกินไป” อาจเป็น “ภาระ” มากกว่าทรัพยากร เทรนด์ใหม่ของบริษัทระดับโลกคือ ลดขนาดทีม ปรับองค์กรให้แบนราบ และใช้ AI ทดแทน

เดิมทีนั้น บริษัทต่างๆ มักมีวงจรการจ้างงานตามสภาพเศรษฐกิจ กล่าวคือ “ปลดพนักงานออก” ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา และกลับมา “จ้างพนักงานเพิ่ม” เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว แต่ในปัจจุบัน รูปแบบปกติเช่นนี้กลับดูเหมือน “เปลี่ยนไปแล้ว”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าหลายบริษัทในสหรัฐ มียอดขายและผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับเลือกที่จะ “ลดจำนวนพนักงานลง” แทน สวนทางความเข้าใจแบบเดิมอย่างน่าใจหาย ซึ่งแนวโน้มที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ อาจสะท้อนแนวคิดผู้นำองค์กรที่มองว่า “น้อยคือมาก” (Less is More) บริษัทยังคงสามารถเร่งการเติบโตและเพิ่มผลกำไรเรื่อย ๆได้  แม้จะใช้จำนวนพนักงานน้อยลงกว่าเดิม

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการลดต้นทุนตามปกติอีกต่อไป แต่เป็นภาพสะท้อนของ “แนวคิดใหม่” ในโลกธุรกิจ ที่กำลังพลิกจากยุคที่ “การจ้างเพิ่ม” คือ สัญญาณความมั่นใจและการเติบโต สู่ยุคที่ “การเพิ่มคน” กลับถูกมองว่าเป็น “จุดอ่อน” ของผู้นำ เหมือนกับว่าหากยังต้องจ้างเพิ่ม แปลว่ายังบริหารได้ไม่ดีพอในสายตาตลาดหรือไม่

หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมหาชนของสหรัฐได้ลดจำนวนพนักงานที่ทำงานในสำนักงานลงรวมกันถึง 3.5% ตามข้อมูลจาก Live Data Technologies ผู้ให้บริการข้อมูลการจ้างงาน และตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 1 ใน 5 ของบริษัทในดัชนีหุ้นสหรัฐ S&P 500 ได้ปรับลดจำนวนพนักงานลงด้วย

สาเหตุหลักมาจากเทคโนโลยีล้ำยุคอย่าง “ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์” (Generative AI) ที่กำลังทำให้บริษัทต่างๆ สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย “ทรัพยากรที่น้อยลง”

ในขณะนี้ บริษัทอีคอมเมิร์ซใหญ่อย่าง Amazon.com ไปจนถึงธนาคาร Bank of America รวมถึงบริษัทใหญ่ไม่น้อย ต่างมีความเชื่อเพิ่มขึ้นว่า การมีพนักงานมากเกินไป ได้กลายเป็น “อุปสรรค” แทน โดยข้อความจากหัวหน้างานหลายคน คือ “ใครก็ตามที่ยังคงอยู่ในบัญชีรับเงินเดือน ควรจะทำงานให้หนักขึ้นได้อีก”

ในบันทึกถึงพนักงาน แอนดี แจสซี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Amazon ได้เขียนไว้ว่า การเติบโตของ AI ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต จะทำให้บางตำแหน่งงาน “ไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

อีกทั้งซีอีโอ Amazon ยังมองว่า การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคนมากเสมอไป โดยเขาชี้ว่า ผู้นำที่เก่งที่สุด คือ คนที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้มากที่สุด โดยใช้จำนวนคนหรือทรัพยากรอื่นๆ ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น

ไม่เพียงแต่ Amazon ยังมีบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคอย่าง Procter & Gamble (P&G) ที่เป็นเจ้าของแบรนด์มีดโกน Gillette แชมพู Head & Shoulders แปรงสีฟัน Oral-B ฯลฯ ได้ประกาศเมื่อเดือนนี้ว่า จะลดตำแหน่งงานลง 7,000 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 15% ของพนักงานที่ไม่ได้อยู่ในส่วนการผลิต เพื่อสร้างบทบาทที่กว้างขึ้นและทีมงานที่เล็กลง

บริษัทเครื่องสำอาง Estée Lauder และ Match Group ผู้ให้บริการแอปหาคู่ ก็เพิ่งประกาศว่า ได้ปลดผู้จัดการออกไปแล้วประมาณ 20% ในบริษัท สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ “ตำแหน่งผู้จัดการ” ก็ดูเหมือนจะไม่ปลอดภัยแล้วในปัจจุบัน

ในขณะเดียวกัน Microsoft บริษัทผู้พัฒนาซอฟแวร์รายใหญ่ของโลก ประกาศปลดพนักงานอีกกว่า 6,000 ตำแหน่งทั่วโลก หรือคิดเป็นราว 3% ของพนักงานทั้งหมด แม้ว่าบริษัทจะเพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (สิ้นสุดเดือนมีนาคม) ว่ามียอดขายและกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาดก็ตาม

มารี ไมเยอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Hewlett Packard Enterprise (HPE) บริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศในสหรัฐ กล่าวกับนักลงทุนในเดือนนี้ว่า “องค์กรที่แบนราบกว่า จะทำงานได้เร็วกว่า” โดยเธอชี้ให้เห็นว่า HPE ซึ่งมีพนักงานน้อยกว่า 59,000 คน กำลังมี “ขนาดที่เล็กที่สุด” นับตั้งแต่แยกตัวออกมาเป็นบริษัทอิสระเมื่อสิบปีก่อน

เจสัน เลมคิน อดีตผู้บริหารของ Adobe และนักลงทุนด้านเทคโนโลยี กำลังชี้ให้เห็นถึงความจริงที่น่าตกใจ ที่เขาได้รับฟังมาจากการสนทนาส่วนตัวกับผู้บริหารบริษัทต่างๆ

เขาบอกว่า บริษัทขนาดใหญ่ (ที่มีพนักงาน 500 คนขึ้นไป) ไม่ว่าจะเป็นบริษัทมหาชนหรือไม่ก็ตาม รู้สึกว่าตัวเองมีพนักงานมากเกินไป โดยพวกเขาเชื่อว่า อาจไม่จำเป็นต้องมีพนักงานถึง 30-40% ของทีมงานที่มีอยู่

บริษัทโต แต่ทำไม ‘ปลดคนเพิ่ม’ เทรนด์ใหม่องค์กร มองคนมากไป คือ ภาระ?

- คลื่นเลิกจ้างพนักงาน (กราฟิก: ปาลจิรนัฐ สิริจิสุทธิ์กุล) -

องค์กรผอมลง พนักงานแบกภาระหนักขึ้น

ด้วยการถือกำเนิดของ AI ประกอบกับเทรนด์แห่กันลดขนาดองค์กรลง ดูเหมือนว่าอาจทำให้พนักงานมีอำนาจต่อรองลดลง โดยในตอนนี้ พนักงานในหลายบริษัทกำลังเผชิญกับภาระงานที่หนักขึ้น ความรับผิดชอบที่มากขึ้น รวมถึงหวั่นวิตกถึงความมั่นคงในหน้าที่การงาน และโอกาสในอนาคต

“พนักงานกังวลเกินกว่าที่จะย้ายงาน” มิชา ฟิชเชอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากแพลตฟอร์มคอร์สเรียนออนไลน์ Udemy เขียนไว้ในบทวิเคราะห์ตำแหน่งงานล่าสุดของสหรัฐ “พนักงานที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพหางานไม่ได้ พนักงานที่มีประสบการณ์ ก็ไม่เติบโตในสายอาชีพ และพนักงานที่หมดไฟ ก็ยังคงเลือกอยู่ที่เดิม”

ตามข้อมูลจาก Live Data Technologies ตำแหน่งที่ถูกปรับลด ไม่ได้มีเพียงพนักงานระดับล่าง “ผู้จัดการ” ก็ตกเป็นเป้าเช่นกัน หรือแม้แต่ระดับ “ผู้บริหาร” ก็หนีไม่พ้น โดยจำนวนผู้จัดการ ได้ลดลง 6.1% ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2022 ถึงพฤษภาคม 2025 ในขณะที่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงลดลง 4.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน

เมื่อไบรอัน มอยนิแฮน เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของธนาคาร Bank of America ในปี 2010 บริษัทมีพนักงาน 285,000 คน

ตลอดที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินการปิดสาขา ปรับกระบวนการต่างๆ ให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น และ “ไม่ได้จ้างคนใหม่มาแทน” เมื่อมีพนักงานลาออก ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ลดลำดับชั้นการบริหารลง เหลือประมาณ 7 ระดับจากเดิม 13 ระดับ

ในปัจจุบัน Bank of America มีพนักงานลดลงเหลือ 213,000 คน แต่กลับมีรายได้เพิ่มขึ้น 18% จากเมื่อสิบปีก่อน โดยมอยนิแฮนกล่าวกับนักลงทุนในเดือนเมษายนว่า “เรามีบริษัทที่สร้างผลผลิตได้สูงขึ้น โดยใช้คนน้อยลง และมีต้นทุนที่ต่ำลง”

สเตฟาน บันเซล ซีอีโอของ Moderna ผู้ผลิตวัคซีนโควิด กล่าวในการประชุมนักลงทุนเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมว่า “เรากำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 10 รายการ” และเสริมว่า “ความท้าทายที่ผมมีต่อทีมงานของเราคือ เราจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทั้ง 10 รายการนั้นได้อย่างไร โดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนพนักงาน?”

นอกจากนี้ หลายบริษัทยังเกิดเทรนด์การปรับโครงสร้างองค์กรให้ “แบนราบ” มากขึ้น ส่งผลให้ผู้จัดการต้องรับบทบาทที่หนักหน่วงกว่าเดิม โดยต้องดูแลทีมขนาดใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน

ข้อมูลจาก Lattice ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านทรัพยากรบุคคล ระบุว่า ในปี 2020 ผู้จัดการมีผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงเฉลี่ย 4.2 คน แต่ภายในปี 2023 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5.1 คน สะท้อนภาพองค์กรยุคใหม่ที่ลดชั้นการบริหาร และผลักภาระการจัดการลงสู่ระดับปฏิบัติการมากขึ้น

โจเซฟ ฟูลเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการจากมหาวิทยาลัย Harvard Business School กล่าวว่า “พวกเขาได้ลดลำดับชั้นการบริหารลง จนถึงจุดที่ทำให้บริษัทต่างๆ กลายเป็นเหมือนคนผอมโซ”

สู่ยุค AI ปฏิวัติแรงงาน ‘ช่วย’ หรือ ‘แทนที่’ มนุษย์

นับจากโลกผ่านยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 ที่ทำให้คนทอผ้าและคนขับเกวียนตกงาน การเกิดขึ้นของ “ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์” (Generative AI) กำลังทำให้ผู้บริหารจินตนาการถึงอนาคตที่ใช้พนักงานน้อยลงไปอีก

ซีอีโอของทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopify และแอปเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่าง Duolingo เพิ่งแจ้งกับทีมงานของตนว่า การจ้างงานในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ได้ก่อนว่า งานนั้น “ไม่สามารถทำได้โดยอัตโนมัติ” จนเรียกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักบนโซเชียลมีเดีย

ซีอีโอของ Duolingo จึงได้ปรับโทนข้อความดังกล่าวให้ดูนุ่มนวลลง โดยชี้แจงว่า บริษัทยังคงจ้างงานในอัตราความเร็วเท่าเดิม

บริษัทโต แต่ทำไม ‘ปลดคนเพิ่ม’ เทรนด์ใหม่องค์กร มองคนมากไป คือ ภาระ?

- ภาพ: shutterstock -

นอกจากนี้ ความเสี่ยงเลิกจ้างได้ลามมาสู่ฝ่าย HR เมื่อ Lattice บริษัทซอฟต์แวร์ HR ต้องการเพิ่มคุณสมบัติการจัดการเงินเดือน เข้าไปในผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ของพวกเขา ผู้บริหารได้คำนวณว่า จะต้องจ้างพนักงานเพิ่มถึง 40-50 คน เพื่อแก้ปัญหาการจ่ายเงินเดือนของลูกค้าให้ทันท่วงที

“แต่สุดท้ายแล้ว Lattice กลับเพิ่มพนักงานไม่ถึง 10 คน” ซาราห์ แฟรงคลิน ซีอีโอของบริษัทฯกล่าว นั่นเป็นเพราะโมเดล AI ในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากกว่าแชตบอตเมื่อหนึ่งหรือสองปีที่แล้วมาก “AI สามารถรับคำขอ การสอบถามแบบเฉพาะเจาะจง และจับคู่เพื่อให้คำตอบกับคุณได้” เธอกล่าว “นั่นคือสิ่งที่เราในฐานะมนุษย์ทำ”

ในขณะนี้ บริษัทจำนวนมากกำลังหันมาใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบ Agentic AI มากขึ้น ซึ่งเป็นบอตอัตโนมัติที่สามารถตัดสินใจและทำงานแทนมนุษย์ได้ เช่น การชำระใบแจ้งหนี้ หรือการปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งสินค้าใหม่ หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น

ห้าง Walmart กำลังนำ Agentic AI ดังกล่าวมาใช้ เพื่อช่วยลดระยะเวลาได้สูงสุดถึง 18 สัปดาห์ ในการผลิตเสื้อผ้าที่ออกแบบเอง

ยิ่งไปกว่านั้น Walmart ได้แสดงให้เห็นถึง “การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโมเดลธุรกิจ” โดยปัจจุบันมีพนักงานน้อยกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนถึง 100,000 คน แม้จะมีการขายกิจการในต่างประเทศบางส่วนออกไป แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัท “ยังคงเติบโต” คือ “นวัตกรรมทางเทคนิค” ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และผลักดันรายได้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับ “การลงทุนอย่างหนักในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ” ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ ในปี 2024 Walmart สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 6.81 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปี 2014 แม้มีพนักงานน้อยลงก็ตาม ชี้ให้เห็นว่า การปรับลดขนาดพนักงาน และใช้เทคโนโลยีประกอบ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของบริษัทแต่อย่างใด

ด้านไรอัน บาเบนเซียน ผู้ก่อตั้งแบรนด์รองเท้าผ้าใบที่ชื่อ Greats กล่าวว่า เขาไม่เคยมองจำนวนพนักงานเป็นเครื่องบ่งชี้ความสำเร็จเลย บริษัทของเขาดำเนินงานด้วยทีมที่กะทัดรัดมาก ซึ่งประกอบด้วยอาร์จัน ซิงห์ ผู้ร่วมก่อตั้ง พร้อมด้วยพนักงานที่เน้นด้านการขาย การตลาด และโซเชียลมีเดีย โดยอาศัยเครื่องมือดิจิทัล และผู้รับเหมาอิสระแบบพาร์ทไทม์ เพื่อดูแลงานบางส่วนในด้านการเงิน การดำเนินงาน และโลจิสติกส์

“การจ้างงาน ไม่จำเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว” บาเบนเซียนกล่าว “เมื่อ 10 ปีก่อน เป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างธุรกิจมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ ด้วยพนักงาน 5 คนหรือน้อยกว่านั้น แต่ในวันนี้ ผมคิดว่า นี่จะกลายเป็นเรื่องธรรมดามากๆ”

สำหรับพนักงาน ปัญญาประดิษฐ์กลับทำให้รู้สึกหมดไฟสูงขึ้น?

แม้ว่ามีงานศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ว่า AI ช่วยเพิ่มผลิตภาพการทำงานของพนักงานได้ แต่ “ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญ” การนำเครื่องมือ AI มาใช้งานจริงกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

จากการสำรวจของ Upwork บริษัทแพลตฟอร์มฟรีแลนซ์สัญชาติอเมริกัน พบว่า 77% ของพนักงานรู้สึกว่า เครื่องมือ AI ทำให้ภาระงานเพิ่มขึ้นและลดผลิตภาพการทำงานลง แทนที่จะช่วยลดงาน โดยปัญญาประดิษฐ์กลับเพิ่มงานใหม่ๆ เข้ามา เช่น การคอยตรวจสอบเนื้อหาที่ AI สร้างขึ้นเพื่อหาข้อผิดพลาด การเรียนรู้การใช้งานอินเทอร์เฟซที่ซับซ้อน และการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ ช่องว่างระหว่างสิ่งที่ AI ถูกคาดหวังว่าจะทำได้จริง ๆ กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการนำ AI มาใช้ในทางปฏิบัติ กำลังส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อ “สุขภาพ” และ “ความสุข” ของพนักงาน ซึ่งความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นในการดูแล AI และความคาดหวังจากนายจ้างที่มองว่า ผลงานควรจะออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากมี AI อาจนำไปสู่ความเครียดและ “ภาวะหมดไฟ” ที่สูงขึ้นในหมู่พนักงาน โดยมีข้อมูลสนับสนุนจากผลสำรวจของ AI Business ที่ระบุว่า 61% ของพนักงานเชื่อว่า AI ในที่ทำงาน ทำให้พวกเขาหมดไฟมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น โจเซฟ ฟูลเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการจากมหาวิทยาลัย Harvard Business School ชี้ว่า การปรับลดพนักงานจำนวนมากตามเทรนด์ AI พร้อมจ่ายงานที่หนักขึ้นให้พนักงานที่เหลืออยู่ สิ่งนี้อาจ “ส่งผลเสีย” ในภายหลัง และในที่สุดจะ “ทำลายคุณภาพผลงาน” ของพนักงานได้

“ความสามารถในการทำงาน ที่ต้องใช้สมาธิลึกซึ้งและจดจ่ออย่างแท้จริงของพวกเขา จะลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาถูกรบกวนอย่างไม่รู้จบ และในตอนนี้ พวกเขากำลังทำงานที่เมื่อ 10 ปีก่อน คนสามคนทำ” ฟูลเลอร์กล่าว

ด้านเคลลี่ โมนาฮัน กรรมการผู้จัดการของ Upwork Research Institute ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการกำกับดูแลโดยมนุษย์ว่า “โมเดลภาษาขนาดใหญ่จำนวนมาก จะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อมีการตัดสินใจและกำกับดูแลโดยมนุษย์”

นี่สะท้อนว่า ต่อให้ AI จะล้ำยุคขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องใช้ “มนุษย์” ในการกำกับดูแลและตรวจสอบ เพราะ AI สามารถทำงานผิดพลาดได้ อาจด้วยภาวะหลอน (การสร้างข้อมูลที่ฟังดูน่าเชื่อถือ แต่กลับไม่ถูกต้องทั้งหมด) ความผิดปกติของระบบ หรือแม้แต่การถูกเทรนด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อน นั่นหมายความว่า พนักงานจำเป็นต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และแก้ไขผลลัพธ์จาก AI เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและน่าเชื่อถือของข้อมูล

อ้างอิง: wsjcnbccnbc(2)newsremote