'ทรัมป์' ขยายเวลาแบน 'TikTok' ให้เวลาถึง 17 ก.ย.นี้

'ทรัมป์' ขยายเวลาแบน 'TikTok' ให้เวลาถึง 17 ก.ย.นี้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขยายเวลาแบน TikTok ใถึง 17 ก.ย.นี้ เพื่อให้รัฐบาลมีเวลาในการเจรจาข้อตกลงภายใต้กฎหมาย “ขายหรือแบน” ติ๊กต๊อก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เมื่อวันพฤหัสบดี (19 มิ.ย.) ให้ติ๊กต๊อก (TikTok) แอปยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นที่มีบริษัทไบท์แดนซ์ (ByteDance) จากจีนเป็นเจ้าของ สามารถดำเนินกิจการในสหรัฐต่อไปได้อีก 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลสหรัฐมีเวลามากขึ้นในการเจรจาข้อตกลงภายใต้กฎหมาย “ขายหรือแบนติ๊กต๊อก” จึงยังสามารถให้บริการผู้ใช้งาน 170 ล้านคนในสหรัฐต่อไปได้

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่รัฐบาลของปธน.ทรัมป์เลื่อนการสั่งแบนติ๊กต๊อกออกไป โดยคำสั่งฝ่ายบริหารดังกล่าวทำให้เส้นตายได้ถูกเลื่อนออกไปอีก จนถึงวันที่ 17 ก.ย. นี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ขยายเวลาการสั่งแบนออกไปสองครั้งแล้วครั้งละ 75 วันเมื่อวันที่ 20 ม.ค. และ 4 เม.ย.ปีนี้

ทั้งนี้ ทรัมป์มีผู้ติดตามบนติ๊กต๊อกมากกว่า 15 ล้านคน นับตั้งแต่เขาเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งปธน.ในปี 2567 โดยเขากล่าวในเดือนม.ค.ว่า เขามี “ความรู้สึกดี ๆ กับติ๊กต๊อก”

การขยายเวลาต่อเนื่องนี้ทำให้มีแนวโน้มว่า สหรัฐอาจไม่แบนติ๊กต๊อกเร็ว ๆ นี้ แม้ว่าคำสั่งบริหารเพื่อให้ติ๊กต๊อกดำเนินการต่อไปนั้นได้ถูกตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ยังไม่เคยถูกฟ้องร้องในศาล

ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ เคยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อแบนติ๊กต๊อกในสหรัฐ เว้นแต่ไบท์แดนซ์จะขายกิจการติ๊กต๊อกในสหรัฐให้กับบริษัทสหรัฐ แต่คำสั่งดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้เนื่องจากเผชิญอุปสรรคทางกฎหมาย

ต่อมาในสมัยที่โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ได้ลงนามในกฎหมายบังคับให้ไบท์แดนซ์ขายกิจการติ๊กต๊อกในสหรัฐ ภายในเวลา 270 วัน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ หากบริษัทไม่ปฏิบัติตาม ตัวแอปจะถูกลบออกจากแพลตฟอร์มร้านค้าแอปของแอปเปิ้ล (Apple) และกูเกิล (Google) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2568

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของพิว รีเสิร์ช เซนเตอร์ (Pew Research Center) เมื่อไม่นานมานี้ เปิดเผยให้เห็นว่า ชาวสหรัฐประมาณ 1 ใน 3 หรือราว 33% สนับสนุนการแบนติ๊กต๊อก ซึ่งลดลงจาก 50% จากผลสำรวจเมื่อเดือนมี.ค. 2566 ขณะที่จำนวนผู้ไม่เห็นด้วยและผู้ที่ไม่มั่นใจกับการแบนติ๊กต๊อกก็มีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ราว 1 ใน 3 หรือประมาณ 33% เช่นกัน