ท้องถิ่นจีน 'เงินหมด' งบช่วยซื้อ 'สะดุด' หลังคนแห่เข้าโครงการเก่าแลกใหม่

โครงการกระตุ้นการบริโภค 'เก่าแลกใหม่' กำลังเป็นบททดสอบขีดจำกัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน หลังคนแห่เข้าร่วมจนรัฐบาลท้องถิ่น 'งบหมด' จับตายอดค้าปลีก-ยอดขายรถ มิ.ย. อาจชะลอตัวลง หลังเพิ่งฟื้นตัวแรงเดือนที่แล้ว
"จีน" กำลังทดสอบขีดจำกัดของมาตรการกระตุ้นการบริโภค "เก่าแลกใหม่" (trade-in program) ด้วยการที่รัฐให้เงินอุดหนุนการซื้อสินค้าเฉพาะกลุ่มตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าไปจนถึงรถยนต์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการจับจ่ายซื้อของในจีนได้อย่างร้อนแรงจนดันให้ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค. ขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี แต่ในอีกด้านหนึ่ง มาตรการนี้ก็สุ่มเสี่ยงเกินขีดความสามารถที่ท้องถิ่นต่างๆ จะรับมือไหว แม้แต่ในเมืองหรือมณฑลที่ร่ำรวยที่สุดก็ตาม
บลูมเบิร์กรายงานว่า การที่ผู้บริโภคชาวจีนตอบรับเข้าร่วมโครงการนี้อย่างล้นหลาม กำลังทำให้เกิดภาวะ "เงินหมด" ตามรัฐบาลท้องถิ่นในหลายมณฑล เมื่องบประมาณอุดหนุนจากส่วนกลางที่ปักกิ่งถูกกระจายออกไปถึงมือชาวบ้านอย่างรวดเร็ว
ทางการเมือง "ฉงชิ่ง" และมณฑล "เหอหนาน" ต้องประกาศระงับการให้เงินอุดหนุนหรือใบสมัครขอรับเงินช่วยเหลือดังกล่าว ในขณะที่มณฑล "เจียงซู" และ "กวางตุ้ง" ต้องประกาศข้อจำกัดต่างๆ ออกมา เช่น การจัดการโควตารายวัน
การสะดุดครั้งนี้ทำให้รัฐบาลปักกิ่งมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจอีกครั้ง ในขณะที่กำลังมองหาทางแก้ไขในระยะยาวสำหรับวิกฤติความเชื่อมั่นของครัวเรือนจีน
ปักกิ่งกำหนดให้ประเด็น "การขยายการบริโภคในประเทศ" เป็นลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจสูงสุดในปีนี้ เพื่อรับมือกับผลกระทบมาตรการภาษีของสหรัฐ โดยเพิ่มจำนวนการออกพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวพิเศษเป็น "สองเท่า" เพื่อขยายงบโครงการแลกซื้อรถยนต์ใหม่ที่ออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เพิ่มเป็น 3 แสนล้านหยวน (ราว 1.36 ล้านล้านบาท) โดยงบประมาณมากกว่าครึ่งในโครงการนี้ถูกกระจายหรือกำลังอยู่ระหว่างการกระจายงบไปยังรัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศ
“การใช้เงินอุดหนุนอย่างรวดเร็วแสดงให้เห็นว่าโครงการนี้มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นยอดขายสินค้าเป้าหมาย” ติง ซวง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนแผ่นดินใหญ่และเอเชียเหนือของธนาคาร Standard Chartered กล่าว
"อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงข้อจำกัดศักยภาพการคลังของประเทศ เรายังจำเป็นต้องมีมาตรการที่ยั่งยืนด้วยเพื่อดำเนินนโยบายดังกล่าวต่อไปในระยะยาว หลังจากที่มีการกระตุ้นระยะสั้นผ่านการอุดหนุนไปแล้ว"
โครงการ "เก่าแลกใหม่" เป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่จีนดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว และนับเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นดีมานด์สินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือนปีนี้ เฉพาะเดือนพ.ค. เพียงเดือนเดียว ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนมีการเติบโตมากถึงกว่า 50% และทำให้ยอดค้าปลีกจีนเดือนพ.ค. พุ่ง 6.4% แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี นับเป็นอัตราการขยายตัวที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2567 และสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมด
ทีมนักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร Goldman Sachs ระบุในบันทึกถึงนักลงทุนว่า โครงการแลกซื้อน่าจะยังคงช่วยสนับสนุนยอดขายสินค้าคงทนบางส่วนได้อยู่ แต่ก็เตือนด้วยว่า "การกระตุ้นอาจหยุดชะงักในเดือนมิ.ย. นี้ เนื่องจากขาดแคลนเงินทุนในบางภูมิภาค"
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ทางการจีนเปิดเผยว่า จะกระจายงบประมาณทั้งหมด 1.62 แสนล้านหยวน (ราว 7.34 แสนล้านบาท) ให้กับมณฑลต่างๆ โดยจะแบ่งเป็น 2 งวด ซึ่งการจัดสรรงบในงวดหลังเพิ่งประกาศไปเมื่อปลายเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นประมาณเจ็ดสัปดาห์ต่อมา เว็บไซต์ Financial News ซึ่งเป็นสื่อที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกลางจีนก็รายงานข่าวว่า งบประมาณยังไม่ได้ถูกกระจายไปถึงมือท้องถิ่น แต่ยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการ
แม้ว่ารัฐบาลอาจจะกระจายงบที่เหลือตามแผนปีนี้ในเร็วๆ นี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งเริ่มเตือนว่า ปักกิ่งจำเป็นต้องคิดหามาตรการที่ยั่งยืนกว่านี้เพื่อให้การบริโภคในจีนฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในระยะยาว
ตอนนี้แนวทางอื่นที่ปักกิ่งกำลังใช้อยู่ก็คือ "การออกนโยบายที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจ" ให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นด้านการลงทุนและการจ้างงานภาคเอกชน ซึ่งหากดำเนินการต่อเนื่องก็อาจช่วยให้การบริโภคในจีนแข็งแกร่งขึ้นได้ในระยะยาว โดยทางการจีนดำเนินการไปแล้วหลายอย่างรวมถึงการจ่ายหนี้ค้างชำระของรัฐบาลกับบริษัทเอกชน และการขอให้กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ชำระหนี้ให้ตรงเวลามากขึ้น
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ฯ สแตนชาร์ดมองว่า มาตรการดังกล่าวอาจไม่เห็นผลที่รวดเร็ว แต่จะสามารถช่วยฟื้นการบริโภคในระยะยาวของจีน และเชื่อว่าขณะนี้ฐบาลกลางจะดำเนินการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาความเชื่อมั่นให้ต่อเนื่อง ในขณะที่ปักกิ่งกำลังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังในปีนี้
"ความกังวล" เกี่ยวกับเรื่องการพึ่งพาเงินอุดหนุนยังสะท้อนให้เห็นผ่านบรรดาสื่อของทางการจีนเอง หนังสือพิมพ์ The Economic Daily ระบุว่ารัฐบาล "ต้องปรับปรุงระบบการจัดสรรงบประมาณและต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มรายได้" ให้กับประชาชน
"การกระตุ้นการบริโภคในประเทศไม่สามารถพึ่งพาเพียงแค่มาตรการอุดหนุนเท่านั้น" บทบรรณาธิการสื่อดังกล่าวระบุ
หวั่นยอดขายรถร่วง หลังงบอุดหนุนเริ่มหมด
รอยเตอร์สรายงานอ้างประกาศของรัฐบาลท้องถิ่นว่า ขณะนี้มีเมืองและเทศบาลอย่างน้อย 6 แห่งในจีน ที่ต้องประกาศระงับการให้เงินอุดหนุนสำหรับการแลกซื้อรถยนต์ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้ยอดขายรถใหม่ในจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชะลอตัวลง
รัฐบาลท้องถิ่นในเมือง "เจิ้งโจว" และ "ลั่วหยาง" แจ้งว่า การระงับโครงการนี้ชั่วคราวเป็นเพราะงบประมาณรอบแรกที่รัฐบาลปักกิ่งจัดสรรให้หมดลงแล้ว ในขณะที่เมือง "เสิ่นหยาง" และ "ฉงชิ่ง" ระบุว่า การระงับเงินอุดหนุนเป็นเพราะมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน และทางด้านเขตปกครองตนเอง "ซินเจียง" ทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ออกคำสั่งระงับในลักษณะเดียวกัน
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ใช้โครงการเก่าแลกใหม่กระตุ้นการซื้อสินค้าราคาแพง เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอย หลังจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคซบเซามานานจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงความกังวลเรื่องการเติบโตของค่าจ้างและการว่างงาน
โครงการนี้ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ณ วันที่ 31 พ.ค. มีผู้ยื่นคำร้องขอเงินอุดหนุนสำหรับโครงการแลกซื้อรถยนต์ไปแล้วมากกว่า 4 ล้านรายในปีนี้
ด้านสื่อของทางการจีนในมณฑลเหอหนาน รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลปักกิ่งได้สังเกตเห็นช่องโหว่บางประการในโครงการอุดหนุนแลกซื้อ และจะพยายามหาทางปรับปรุงแก้ไข โดยมีหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สื่อและหน่วยงานกำกับดูแลของจีนระบุว่าเป็นปัญหาก็คือ "รถมือสองเลขไมล์ศูนย์" ซึ่งหมายถึงการขายรถใหม่เอี่ยมป้ายแดงที่ยังไม่เคยใช้เป็นรถมือสอง เพื่อลดราคาให้ถูกลงและจะได้ระบายสินค้าในสต็อก
ปัญหานี้เองเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินอุดหนุนหมดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ และทำให้รัฐบาลท้องถิ่นต้องระงับโครงการอุดหนุนชั่วคราว







