‘ภูฏาน’ ดินแดน ‘มังกรสายฟ้า’ (จบ) | World Wide View

ธรรมชาติ-ศาสนา-วัฒนธรรม-พระมหากษัตริย์ เป็นโซ่ร้อยดวงใจคนภูฏานเข้าไว้ด้วยกัน เทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้จึงโอบล้อมเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่หาได้ยากในโลกปัจจุบัน และชวนให้เราไปสัมผัสความ

คนภูฏานจะใส่ชุดประจำชาติของตนเองในชีวิตประจำวันตั้งแต่เด็กๆ โดยใช้เป็นเครื่องแบบของโรงเรียน คนทั่วไปไม่ว่าจะข้าราชการหรือประชาชนก็ใส่แบบเดียวกัน ตอนไปญี่ปุ่นพบเห็นคนใส่กิโมโนหรือยูกาตะว่าเยอะกว่าคนไทยแต่งชุดไทยแล้ว แต่คนภูฏานใส่ชุดประจำชาติกันทุกคนในทุกวันจริง ๆ

‘ภูฏาน’ ดินแดน ‘มังกรสายฟ้า’ (จบ) | World Wide View

ชุดผู้ชายเป็นเสื้อคลุมยาว เรียกว่าโก (Gho) โดยจะดึงร่นขึ้นมาแล้วผูกที่เอว ด้านในจะสวมเสื้อบางอีกชั้น (ส่วนมากเป็นสีขาวแทนความบริสุทธิ์) แล้วพับแขนขึ้นมาเกือบถึงข้อศอก ส่วนผู้หญิงจะสวมผ้านุ่งยาวถึงข้อเท้าเรียกคีร่า (Kira) มีเสื้อบางชั้นในเรียกวอนจู (Wonju) และเสื้อคลุมด้านนอกเรียกเตโก (Tego) โดยจะพับแขนเช่นกัน ให้แขนเสื้อด้านในกับเสื้อคลุมตัดสีกัน ดูงามตาและมีสีสันมาก

นอกจากการใส่ชุดประจำชาติแล้ว หากต้องเข้าพิธีทางการหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คนภูฏานจะเพิ่ม item อีก 2 อย่าง คือรองเท้าหนังขอบสูงและผ้าคลุม โดยสีของผ้าคลุมก็มีความหมายในการกำหนดตำแหน่งแห่งที่ในสังคม คือ สีขาวคือประชาชนและข้าราชการ สีน้ำเงินคือสมาชิกสภา สีส้มคือรัฐมนตรี สีเขียวคือตุลาการ สีแดงคือองคมนตรีหรือผู้ทำความดีความชอบจนพระมหากษัตริย์พระราชทานผ้าแดงให้ และสีเหลืองคือพระมหากษัตริย์

‘ภูฏาน’ ดินแดน ‘มังกรสายฟ้า’ (จบ) | World Wide View

‘ภูฏาน’ ดินแดน ‘มังกรสายฟ้า’ (จบ) | World Wide View

เวลาคนอายุน้อยจะทำความเคารพผู้ใหญ่กว่า ก็จะค้อมตัวต่ำ ผายมือไปด้านหน้า แต่หากมีผ้าคลุม ก็จะค้อมตัวแล้วทอดผ้าคลุมไปด้านหน้าเพื่อแสดงความเคารพ ด้วยความที่วัฒนธรรมของคนภูฏานผูกพันอยู่กับผ้า ของที่ระลึกที่พบเห็นได้มากคือผลิตภัณฑ์จากผ้าแบบต่างๆ ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าไหมดิบ ผ้าทอจากขนแกะหรือจามรี โดยหลายร้านเอาจักรมานั่งเย็บกันให้ดูเลย แสดงความเป็นหัตถกรรมที่ทำเองของแทร่

‘ภูฏาน’ ดินแดน ‘มังกรสายฟ้า’ (จบ) | World Wide View

อีกสิ่งหนึ่งที่คนภูฏานมีในหัวใจอย่างเข้มข้นคือความรักและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ ไปที่ไหนไม่ว่าจะร้านอาหาร โรงแรม หรือร้านรวงต่างๆ ก็จะมีรูปกษัตริย์และราชวงศ์เต็มไปหมด ประชาชนและข้าราชการมักหาเข็มกลัดรูปพระมหากษัตริย์มาติดไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วยความเต็มใจ เมื่อครั้งที่กษัตริย์รัชกาลที่ 4 ของราชวงศ์วังชุก (พระราชบิดาของกษัตริย์จิกมีองค์ปัจจุบัน) พยายามจะเปลี่ยนระบอบการปกครองจาก Absolute Monarchy มาเป็น Constitutional Monarchy เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทโลก ทรงต้องเสด็จไปเมืองต่างๆ เพื่อ campaign ให้ประชาชนเข้าใจด้วยพระองค์เอง และเมื่อถึงเวลาจริงๆ ประชาชนก็ร้องห่มร้องไห้ ตอนนี้ภูฏานเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 17 ปีแล้ว หากไปถามว่า มีแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่อยากเปลี่ยนประเทศไปเป็นประชาธิปไตยจ๋าแบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีบ้างมั้ย คำตอบที่ได้ก็คือ มีแต่แนวคิดที่อยากให้กลับไปเป็น Absolute Monarchy เหมือนเดิม

แม้จะเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีสภาและรัฐบาล แต่ในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์ก็ยังทรงเป็น guiding light ให้แก่กระทรวงต่างๆ และสังคมอยู่มาก โดยโครงการใดที่พระมหากษัตริย์ทรงริเริ่ม จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างเต็มที่ เช่น โครงการ (แบบบังคับ) ให้เยาวชนอายุ 18 ปี เข้าการฝึกทหารเป็นเวลา 3 เดือน (และจะเพิ่มเป็น 9 เดือนเร็วๆ นี้) เพื่อให้เยาวชนมีวินัยและได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิต ในหลายประเทศหากรัฐบาลมาบังคับกันแบบนี้คงประท้วงกันวุ่นวาย แต่ที่นี่เยาวชนที่อายุเกินกลับเสียใจ และครอบครัวที่มีลูกเล็ก ต่างตั้งหน้าตั้งตารอให้ลูกอายุ 18 เพื่อจะได้เข้าร่วมโครงการ หรือโครงการจิตอาสา (เครื่องแบบส้ม) ที่ทรงริเริ่มเมื่อ 14 ปีก่อนให้คอยช่วยเหลือสังคม เช่น บริหารมวลชนเวลามี event ใหญ่ๆ จับสุนัขเร่ร่อนที่ต้องการฉีดวัคซีน หรือทำอาหารแจกคนเวลามีภัยพิบัติ กลุ่มจิตอาสาก็จะสมัครมาช่วยกันล้นหลามจนตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐเบาแรงไปมากมาย เรียกได้ว่าประชาชนมี trust and confidence ให้องค์พระมหากษัตริย์อย่างเต็มเปี่ยม

‘ภูฏาน’ ดินแดน ‘มังกรสายฟ้า’ (จบ) | World Wide View

ธรรมชาติ-ศาสนา-วัฒนธรรม-พระมหากษัตริย์ เป็นโซ่ร้อยดวงใจคนภูฏานเข้าไว้ด้วยกัน เทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้จึงโอบล้อมเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่หาได้ยากในโลกปัจจุบัน ผู้คนที่นี่มีจิตใจที่สูงกว่ายอดเขาแต่อ่อนโยนกว่าสายน้ำ สิ่งที่ผู้มาเยือนจะได้พบเห็นเสมอคือใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและแววตาที่อิ่มไปด้วยความพอเพียง สะท้อนคำพูดง่ายๆ ที่เรามักได้ยินกันแต่ทำได้ยากคือ “แค่พออยู่ พอกิน ก็มีความสุขแล้ว”