กต.ย้ำหลักการขึ้นศาลโลก ทั้งสองฝ่ายต้องรับอำนาจศาลก่อน

กต.ย้ำหลักการขึ้นศาลโลก ทั้งสองฝ่ายต้องรับอำนาจศาลก่อน

อธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศแถลง พร้อมรับมือทุกซีนาริโอที่กัมพูชายื่นฟ้องต่อ ICJ หลักการเบื้องต้นสองฝ่ายต้องรับอำนาจศาลก่อน ซึ่งไทยไม่ยอมรับมาตั้งแต่ พ.ศ.2503

นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญา และกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงข้อกฎหมายระหว่างประเทศ ที่กัมพูชา พยายามนำประเด็นเขตแดน 4 พื้นที่ ทั้งประสาทตาเมือนธม, ประสาทตาเมือนโต๊ด, ประสาทตาควาย และช่องบกให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ ศาลโลก พิจารณาว่า ความคืบหน้าขณะนี้ ฝ่ายกัมพูชา ได้นำเรื่องไปก่อนใน 4 พื้นที่แล้ว โดยจะไม่นำกลับมาพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) อีก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะกระบวนการตามกลไกทวิภาคี กำลังดำเนินการอยู่ได้ด้วยดีซึ่งมีความคืบหน้าในการสำรวจเขตแดนร่วมกัน หรืออย่างน้อยหลักเขตแดนที่ได้ข้อสรุปเกินครึ่งแล้ว

นายเบญจมินทร์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ รัฐบาลไทย ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากฝ่ายกัมพูชา และศาลโลก ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ อันเป็นที่ตั้งของศาลโลก ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดว่า รายละเอียดคำร้องของฝ่ายกัมพูชาได้ฟ้องอย่างไร และใช้ฐานอำนาจใดฟ้อง โดยยืนยันว่า กรมสนธิสัญญา และกฎหมาย  ไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีคณะทำงานพร้อมรับมือ โดยได้มีการศึกษาประเด็นกฎหมายทุกความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้น และยังมีที่ปรึกษาด้านกฎหมายระดับโลกเป็นที่ปรึกษาด้วย พร้อมยังได้คำนึงบริบท และข้อพิพาท รวมถึงนัยต่ออธิปไตยของประเทศ

“เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะการนำเรื่องไปศาลโลกนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายควรตกลงกันก่อน เพื่อตีกรอบการขึ้นศาลโลก แต่กัมพูชากลับนำเรื่องเสนอต่อสาธารณชน แทนที่จะมาหารือกับรัฐบาลไทยก่อน เพราะเป็นการปิดโอกาสที่ทั้ง 2 จะได้พูดคุยกันอย่างเปิดอก รวมถึงข้อขัดข้องที่มี” อธิบดี กล่าวและว่า ตามหลักการ การนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาศาลโลก ทั้ง 2 ฝ่ายต้องรับอำนาจศาลโลกก่อน แต่ฝ่ายไทยไม่ได้รับอำนาจศาลโลก ตั้งแต่ 2503 แล้ว เหมือนอีกเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ที่ไม่ได้ยอมรับอำนาจศาลโลก รวมถึงตาม MOU43 ในข้อ 8 ระบุ หาเกิดปัญหาการตีความการปักปันเขตแดน ให้ทั้ง 2 ฝ่ายหารือกันก่อน ซึ่งสะท้อนว่า เป็นการข้ามขั้นตอน และตามกฎบัตรสหประชาชาติ ได้เน้นการให้คู่กรณีพูดคุยกันก่อน รวมถึงยังมีกลไกอื่นๆ ในการหารือ ก่อนที่เรื่องจะไปถึงศาลโลกได้ เว้นแต่จะไม่สามารถตกลงกันได้แล้วจริง ๆ ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นยังไม่เคยมีการหารือข้อพิพาทใน 4 พื้นที่มาก่อนใด ๆ

ส่วนขั้นตอนหากศาลโลกตัดสินแล้วนั้น อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ชี้แจงว่า ศาลมักจะตัดสินตามหลักการ และให้คู่กรณีไปตกลงรายละเอียดในพื้นที่กันเอง ซึ่งก็จะต้องมีการปักปันเขตแดน โดยใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งไทยไม่ได้หลีกหรือหนีใดๆ แต่ขอให้อยู่ในข้อเท็จจริง ที่มีกรอบกฎหมาย และสนธิสัญญา ที่พร้อมใช้ในการปฏิบัติงาน พร้อมย้ำว่า ไทยและกัมพูชา มีกลไกทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพ ทั้ง 3 กลไก

  1. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)
  2. คณะกรรมการชายแดนทั่วไป : General Border Committee (GBC)
  3. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค:  Regional Border Committee (RBC)

จึงขอเรียกร้องให้กัมพูชา กลับมาใช้เครื่องมือที่มีอยู่ก่อน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์