วิเคราะห์ : อิหร่าน - อิสราเอล ใครมีอำนาจกองทัพในมือเหนือกว่ากัน

เทียบ "อิหร่าน -อิสราเอล" ใครมีอำนาจทางกองทัพในมือเหนือกว่า ท่ามกลางความขัดแย้งของสองประเทศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
เหตุโจมตีด้วยขีปนาวุธรุนแรงมากขึ้น ทำให้การสู้รบแบบเผชิญหน้า แทนที่สงครามเงาหนุนอยู่เบื้องหลัง ต่อไปนี้จะเปรียบเทียบจุดแข็งทางทหารระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล
คาริสม่า แจน รองบรรณาธิการข่าว News18 ได้วิเคราะห์อำนาจกองทัพ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างอิหร่าน และอิสราเอล หลังเสียงไซเรนแจ้งเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นทั่วใจกลางอิสราเอล เมื่อเช้าตรู่ของเสาร์ (14 มิ.ย.) ขณะอิหร่าน ยิงขีปนาวุธ และโดนรอบใหม่ โจมตีเมืองสำคัญๆ ของอิสราเอลรวมถึง เทอาวีฟ และเยรูซาเลม
การยิงขีปนาวุธโจมตีก่อนรุ่งสาง ถูกรายงานจากสื่อทางการอิหร่านยืนยันว่า เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดการยิงข้ามพรมแดนอย่างหนักติดต่อกันเป็นคืนที่สอง โดยระบบป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล ได้แก่ ไอรอนโดม และแอร์โร่ ได้เปิดใช้งานอีกครั้ง โดยได้ยิงขีปนาวุธสกัดกั้นขึ้นบนท้องฟ้า ทำการพลเรือนพากันไปยังสถานที่หลบภัยเป็นครั้งที่สาม ในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง
ความรุนแรงทวีความรุนแรงได้ปะทุขึ้นในวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา เมื่ออิสราเอลเริ่มปฏิบัติการ Rising Lion ซึ่งเป็นการโจมตีทางอากาศพิสัยกว้าง โดนมุ่งโจมตีฐานนิวเคลียร์และฐานทัพทหารในพื้นที่ใต้ดินของอิหร่าน
การโจมตีดังกล่าว ได้สังหารผู้บัญชาการระดับสูงของ IRGC หลายนาย รวมถึงผู้บัญชาการกองกำลังอวกาศ อาลี ฮัจจิซาเดห์ และเสนาธิการกองทัพ โมฮัมหมัด บาเกรี รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ เช่น อดีตผู้อำนวยการองค์การพลังงานปรมาณู เฟเรย์ดูน อับบาซ์ โดยเหตุการณ์นั้น มีรายงานความเสียหายอย่างหนักที่โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมนาทานซ์ ซึ่งเป็นโรงงานนิวเคลียร์ที่อ่อนไหวที่สุดแห่งหนึ่งของอิหร่าน
ภาพรายงานจากอิหร่านยังแสดงให้เห็นการระเบิดใกล้เมืองอิสฟาฮาน แม้แต่บริเวณใจกลางกรุงเตหะราน ได้สร้างความตื่นตระหนกอย่างยิ่ง และผู้นำสูงสุด อายาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ประกาศว่า จะดำเนินการตอบโต้ทันที
ตัดภาพมาที่เมื่อคืนวันศุกร์ อิหร่านได้ตอบโต้ภัยคุกคามดังกล่าวได้สำเร็จ ภายใต้ธง “True Promise 3” กองกำลังอิหร่านได้ยิงขีปนาวุธพิสัยไกลมากกว่า 150 ลูกและโดรนจำนวนหนึ่งโจมตีเป้าหมายของอิสราเอล ระบบสกัดกั้นถูกเปิดใช้งานอีกครั้งในพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของอิสราเอล โดยหนังสือพิมพ์ไทม์สออฟอิสราเอล รายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 60 ราย และมีผู้หญิงเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากบาดแผลที่ได้รับระหว่างการโจมตี
วิดีโอจากเตหะรานเผยให้เห็นระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านโจมตีเป้าหมายเหนือเมืองมอนิรีเยห์ ซึ่งเป็นย่านที่ใกล้กับบ้านพักของคาเมเนอี และประธานาธิบดีอิหร่าน ซึ่งบ่งชี้ว่าการโจมตีของอิสราเอลได้เข้าใกล้สำนักงานสูงสุดของรัฐบาลอย่างน่าตกใจ
"เมื่อทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงและเปิดเผย สงครามเงาระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ดำเนินมายาวนานได้กลายมาเป็นความขัดแย้งด้วยอาวุธที่อันตราย และสถานการณ์มีความผันผวนสูง" คาริสม่ากล่าว
หากเปรียบเทียบอำนาจในมือทางการทหาร ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ประเทศใดเหนือชั้นกว่ากัน
อำนาจกำลังพลภาคพื้นดิน
อิหร่านมีข้อได้เปรียบด้านจำนวนบุคลากรอย่างมาก ตามข้อมูลของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษากลยุทธ์ (IISS ) กองทัพประจำการของอิหร่าน (Artesh) กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) และกองกำลังกึ่งทหาร รวมกันมีกำลังพลประจำการมากกว่า 600,000 นาย และยังมีกำลังสำรองเพิ่มเติมอีกกว่า 900,000 นาย ซึ่ง IRGC ปฏิบัติการหน่วยภาคพื้นดิน กองทัพเรือ และอวกาศของตนเอง และมีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในทางตรงกันข้าม อิสราเอลมีกองกำลังที่เล็กกว่ามากแต่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ประกอบด้วยกำลังพลประจำการประมาณ 170,000 นาย และกำลังสำรองประมาณ 460,000 นาย แม้จะมีขนาดเล็ก แต่กองทัพของอิสราเอลก็ขึ้นชื่อในด้านการระดมพลอย่างรวดเร็ว ความพร้อมรบตามเกณฑ์ทหาร และระบบบังคับบัญชาแบบบูรณาการที่ช่วยให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วในหลายพื้นที่
ผลตัดสินคือ อิหร่านครองจำนวน อิสราเอลความพร้อมและคุณภาพกำลัง
อำนาจทางอากาศ
ความเหนือกว่าต่อสู้ทางอากาศ ถือเป็นข้อได้เปรียบทางการทหารของอิสราเอลมาช้านาน กองทัพอากาศอิสราเอล (IAF) ใช้งานเครื่องบินขับไล่ล่องหน F-35I ‘Adir’ ร่วมกับฝูงบิน F-15 และ F-16 ที่ได้รับการอัปเกรด เครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศ เครื่องบินลาดตระเวน AWACS และแพลตฟอร์มสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ความสามารถของเครื่องบินรุ่นนี้ในการโจมตีเป้าหมายที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำได้รับการพิสูจน์แล้วในปฏิบัติการรุกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีรายงานว่าทำให้ระบบเรดาร์ และขีปนาวุธของอิหร่านหลายระบบใช้งานไม่ได้ในเพียงคืนเดียว
กองทัพอากาศของอิหร่านยังคงล้าสมัยเมื่อเปรียบเทียบกัน แม้จะมีการคว่ำบาตรและข้อจำกัดการนำเข้ามานานหลายทศวรรษ แต่เตหะรานก็ยังคงรักษาฝูงบิน F-4 และ F-5 ของสหรัฐรุ่นดั้งเดิมคือ MiG-29 ของโซเวียต รวมถึงแพลตฟอร์มที่ปรับปรุงเพียงเล็กน้อย แม้ว่าจะมีรายงานว่าระบบใหม่ของรัสเซียบางส่วนได้ถูกนำมาใช้ในกองทัพแล้ว แต่อิหร่านยังคงขาดขีดความสามารถอย่างแท้จริง และยังต้องพึ่งพาขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (SAM) มากขึ้นในการป้องกันน่านฟ้า
ผลตัดสินคือ อิสราเอลมีความเหนือกว่าอย่างขาดลอย ทั้งในด้านการรบทางอากาศ ความสามารถในการโจมตี และการบูรณาการทั้งระบบ
ขีปนาวุธและโดรน
การเปรียบเทียบจะลงลึกรายละเอียดมากขึ้น เมื่ออิหร่านมีคลังอาวุธขีปนาวุธพิสัยไกลที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง ตามข้อมูลข่าวกรองของสหรัฐ และอิสราเอล โดยคลังอาวุธของอิหร่านมี Shahab-3, Fateh-110, Sejjil และรุ่นเชื้อเพลิงแข็งรุ่นใหม่กว่า ซึ่งมีพิสัยการยิงระหว่าง 300 - 2,000 กม. ทั้งนี้ กองกำลังอวกาศของ IRGC เป็นผู้ควบคุมระบบเหล่านี้ ซึ่งกระจายอยู่ตามไซโลใต้ดินและฐานยิงเคลื่อนที่ ที่สำคัญอิหร่านเป็นมหาอำนาจโดรนรายใหญ่ โดยใช้โดรนไร้คนขับ เช่น Shahed-136, Mohajer-6 และ Ababil-3 ในการมีบทบาทเฝ้าระวังและการโจมตีแบบพลีชีพ ระบบเหล่านี้ถูกส่งมอบให้กับตัวแทนทั่วภูมิภาคและมีรายงานว่า ได้ส่งมอบให้กับรัสเซียในสงครามยูเครนด้วย
ขณะเดียวกัน อิสราเอลยังคงรักษาคลังอาวุธขีปนาวุธขนาดเล็กที่เน้นไปที่ระบบที่มีความแม่นยำสูง ระยะสั้นและระยะกลาง เช่น LORA (ปืนใหญ่ระยะไกล) และซีรีส์เจริโค ซึ่งเป็นพื้นฐานการยับยั้งเชิงกลยุทธ์ นอกจากนี้ อิสราเอลยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโดรน โดยใช้งานโดรนที่ผ่านการทดสอบการรบสำหรับการลาดตระเวน เฝ้าระวัง และโจมตีอย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังขาดจำนวน และความหลากหลายของแพลตฟอร์มขีปนาวุธที่อิหร่านมีตอนนี้
ผลตัดสินคือ อิหร่านเป็นผู้นำทั้งจำนวน และระยะพิสัยการยิงขีปนาวุธ ขณะที่อิสราเอลเป็นผู้นำในด้านความสามารถของโดรนและความแม่นยำในการโจมตี
ระบบป้องกันขีปนาวุธ
ความสำเร็จทางการทหารที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของอิสราเอลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือ การพัฒนาเครือข่ายป้องกันขีปนาวุธหลายชั้น ระบบไอรอนโดรม ทำหน้าที่สกัดกั้นจรวดพิสัยใกล้ ขณะที่ David's Sling และ แอร์โร่-2และ3 ทำหน้าที่สกัดกั้นภัยคุกคามพิสัยกลางและไกล รวมถึงขีปนาวุธพิสัยไกล ระบบเหล่านี้ได้รับการพัฒนาโดยความร่วมมือจากสหรัฐ และประสบความสำเร็จในการสกัดกั้นขีปนาวุธได้หลายพันลูกตั้งแต่ปี 2011 และมีบทบาทสำคัญช่วยอิหร่านสามารถป้องกันและตอบโต้
เครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านกำลังได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย แต่ยังคงขาดความสม่ำเสมอ ประเทศได้นำเข้าระบบ S-300 ของรัสเซียและติดตั้งระบบในประเทศ เช่น Bavar-373 และ Khordad-15 ซึ่งเตหะรานอ้างว่า เป็นคู่แข่งของ S-400
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าการโจมตีของอิสราเอลว่า เมื่อไม่นานนี้ สามารถเจาะระบบป้องกันภัยทางอากาศเหล่านี้ได้โดยมีแรงต้านทานเพียงเล็กน้อย จึงทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความพร้อมและการบูรณาการระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่าน
ผลคำตัดสินคือ โล่ป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอลได้รับการพิสูจน์ในสนามรบแล้วและมีความเหนือกว่าในด้านเทคโนโลยี
ไซเบอร์และหน่วยข่าวกรอง
ทั้งสองประเทศถือเป็นมหาอำนาจด้านไซเบอร์ อิสราเอลได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่า เป็นผู้ปล่อยเวิร์ม Stuxnet เข้าขัดขวางโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านในปี 2010 โดยร่วมมือกับสหรัฐคือ หน่วย 8200 ของประเทศเป็นหน่วย SIGINT และหน่วยสงครามไซเบอร์ชั้นนำ นอกจากนี้ หน่วยดังกล่าวยังมีการบูรณาการอย่างลึกซึ้งระหว่างหน่วยข่าวกรองทางทหาร หน่วย Shin Bet (ความมั่นคงภายใน) และหน่วย Mossad (ปฏิบัติการภายนอก) ซึ่งทำให้สามารถกำหนดเป้าหมายล่วงหน้าและแม่นยำได้
อิหร่านได้พัฒนาศักยภาพด้านไซเบอร์ของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางแผนโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของอิสราเอล ธนาคารสหรัฐ และสินทรัพย์ด้านพลังงานของซาอุดิอาระเบีย IRGC บริหารแผนกไซเบอร์ของตนเองและใช้ปฏิบัติการไซเบอร์ เพื่อสนับสนุนกองกำลังตัวแทนในซีเรีย อิรัก และเลบานอน
ผลตัดสินคือ อิสราเอลเป็นผู้นำด้านการบูรณาการข้อมูลข่าวกรองทางไซเบอร์เชิงรุก ส่วนอิหร่านเป็นผู้นำในด้านขนาด และความต่อเนื่องของการโจมตี
อิทธิพลตัวแทนและภูมิภาค
เรื่องนี้สำคัญไม่อาจมองข้าม เป็ยความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดอาจอยู่ที่หลักด้านยุทธศาสตร์การรบก็ว่าได้ เพราะอิหร่านได้สร้างเครือข่ายกองกำลังตัวแทนที่กว้างขวาง รวมถึงกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอน กลุ่มฮามาสและญิฮาดอิสลามในฉนวนกาซา กองกำลังติดอาวุธชีอะในอิรักและซีเรีย และกลุ่มฮูตีในเยเมน “แกนต่อต้าน” นี้ทำให้เตหะรานสามารถเปิดแนวรบหลายแนวและทำสงครามแบบไม่สมดุลในที่ที่ห่างไกลจากพรมแดนของตนได้
อิสราเอลไม่มีเครือข่ายตัวแทนดังกล่าว แต่เน้นเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ และอาศัยการปฏิบัติการที่กำหนดเป้าหมาย ความเหนือกว่าด้านข่าวกรอง และการดำเนินการทางทหารโดยตรงเพื่อต่อต้านอิทธิพลของอิหร่าน การโจมตีตัดศีรษะเจ้าหน้าที่ IRGC ในซีเรียและเลบานอนเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงปฏิบัติการก่อวินาศกรรมภายในอิหร่าน สะท้อนถึงกลยุทธ์ในการป้องกันและขัดขวางมากกว่าการทำลายล้าง
ผลคำตัดสินคือ อิหร่านมีอิทธิพลเหนือภูมิภาคโดยใช้ตัวแทน ส่วนอิสราเอลตอบโต้ด้วยกำลังทหารและข่าวกรอง
คำถามต่ออนุภาพนิวเคลียร์
เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า อิสราเอลมีคลังอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งคาดว่า มีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 80 - 200 หัว โดยส่งผ่านขีปนาวุธเจริโค III เรือดำน้ำชั้นดอลฟินที่สามารถยิงขีปนาวุธร่อนได้ และเครื่องบินเอฟ-15I และเอฟ -16I ที่สามารถยิงนิวเคลียร์ได้ อิสราเอลยังคงดำเนินนโยบาย “ความคลุมเครือเกี่ยวกับนิวเคลียร์” (amimut) ซึ่งหมายความว่า อิสราเอลไม่ยืนยันหรือปฏิเสธการมีอยู่ของอาวุธดังกล่าว
แม้อิหร่านจะปฏิเสธอย่างเป็นทางการว่า ไม่มีเจตนาจะสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แต่อิหร่านก็ได้พัฒนาโครงการเสริมสมรรถนะให้กับกองทัพประเทศอย่างมาก ตามรายงานของ IAEA ในเดือนพฤษภาคม 2025 อิหร่านมียูเรเนียมเสริมสมรรถนะประมาณ 408.6 กิโลกรัมที่เสริมสมรรถนะถึง 60% ซึ่งเพียงพอสำหรับหัวรบนิวเคลียร์ 9-10 หัวหากเสริมสมรรถนะถึงระดับอาวุธ
ผลคำตัดสินคือ อิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ยังไม่ได้ประกาศแต่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่อิหร่านอยู่ในจุดที่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ยังไม่ไปถึงทำได้
ในแง่ของการทหารแล้ว อิสราเอลมีความได้เปรียบในด้านต่อสู้มีคุณภาพ โดยมีอำนาจทางอากาศ ความสามารถทางไซเบอร์ การป้องกันขีปนาวุธ และการยับยั้งด้วยนิวเคลียร์ที่เหนือกว่า อย่างไรก็ตาม อิหร่านสามารถชดเชยได้ด้วยยุทธศาสตร์เชิงลึก ตัวแทนในภูมิภาค คลังขีปนาวุธจำนวนมหาศาล และหลักคำสอนที่ไม่สมดุลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งท้าทายอิสราเอลในหลายแนวรบ
ขณะที่อิสราเอลเน้นการปกป้องดินแดนของตนด้วยระบบเทคโนโลยีขั้นสูงและความสามารถในการโจมตีอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลักคำสอนของอิหร่านถูกสร้างขึ้นจากการยับยั้งผ่านการใช้อำนาจที่เกินขอบเขต โดยอาศัยพันธมิตร ขีปนาวุธ และอุดมการณ์เพื่อกระจายกองกำลังอิสราเอลให้บางลง
ดังนั้นคำถามที่แท้จริง ไม่ใช่ว่า ใครแข็งแกร่งกว่าทางทหารอีกต่อไป แต่เป็นเรื่อง จะยับยั้งการเผชิญหน้าโดยตรงนี้ได้นานเพียงใด ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค หรือดึงมหาอำนาจจากทั่วโลกเข้ามาร่วม
อ้างอิง : News18







