อิสราเอลโจมตีอิหร่าน วิกฤตินโยบายต่างประเทศครั้งแรก ทรัมป์ 2.0

การโจมตีอิหร่านของอิสราเอลทำให้เกิดวิกฤติด้านนโยบายต่างประเทศครั้งแรกในการดำรงตำแหน่งวาระสองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ทรัมป์ 2.0 เริ่มต้นด้วยการหาเสียงถึงนโยบายต่างประเทศระดับซิกเนเจอร์ เช่น จะยุติสงครามในยูเครน นำสันติภาพสู่กาซา และต่อกรสงครามการค้ากับจีน ซึ่งทั้งหมดไม่ประสบผล
ภารกิจแรกของประธานาธิบดีคือการปกป้องอิสราเอลจากการโจมตีเอาคืนด้วยขีปนาวุธและโดรนของอิหร่าน ซึ่งรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยเผชิญความท้าทายแบบเดียวกันนี้มาแล้วเมื่อปีก่อน หลังจากอิหร่านโจมตีอิสราเอลโดยตรงเป็นครั้งแรกด้วยความช่วยเหลือจากพันธมิตรหลายประเทศ สหรัฐสามารถต้านทานการโจมตีด้วยระเบิดได้สำเร็จเกือบทั้งหมด
สัปดาห์นี้ ทรัมป์เตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิด “สงครามใหญ่” ขึ้นในตะวันออกกลาง และเริ่มไม่แน่ใจว่า การโจมตีของอิสราเอลจะไม่ลากสหรัฐให้เข้าไปติดกับสงครามยืดเยื้อในตะวันออกกลาง ที่เขาลั่นวาจาว่าจะไม่เข้าไปยุ่งด้วย
นโยบายต่างประเทศ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับทุกความขัดแย้ง เพราะชาวอเมริกันไม่ชอบ นโยบายเช่นนี้เองที่ทำให้ทรัปม์ผงาดในทางการเมือง
ไม่เพียงเท่านั้น การโจมตีของอิสราเอลยังเป็นภัยคุกคามต่ออีกหนึ่งเป้าหมายของทรัมป์ นั่นคือการทำข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ที่เขาคาดการณ์เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อนว่าอยู่แค่เอื้อม แต่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทักษะ “ศิลปะในการทำดีล” ของประธานาธิบดีถูกมองว่าจำเป็นต้องอาศัยการเจรจาด้านภูมิรัฐศาสตร์อันซับซ้อน
การตัดสินใจโจมตีอิหร่านของอิสราเอลไม่ว่าสหรัฐจะรู้ล่วงหน้าหรือไม่ อาจทำให้ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วระหว่างทรัมป์กับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แย่ลงไปอีก
วิกฤติครั้งนี้ยังมาพร้อมกับความวุ่นวายภายในประเทศ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ไว้ใจทรัมป์อย่างมาก หลังเขาตัดสินใจส่งกองกำลังป้องกันชาติและนาวิกโยธินไปแคลิฟอร์เนีย
ซีเอ็นเอ็นสรุปว่า ขณะนี้เกือบจะแน่นอนแล้วว่า ทรัมป์ต้องส่งทหารเข้าสู่พื้นที่สงคราม พร้อมๆ กับหาเหตุผลส่งทหารไปรับมือกับชาวอเมริกันในบ้านเกิด