เปิดเบื้องลึกชีวิตคนงาน ‘เหมืองแร่เมียนมา’ เมื่อสารพิษเหมืองไหลสู่แม่น้ำไทย

ในโลกแห่งเทคโนโลยี ‘แร่หายาก’ กลายเป็นวัตถุดิบที่ทั่วโลกต่างแย่งชิง แต่เบื้องหลังนั้นต้องเสี่ยงภัยกับสารพิษต่างๆ จาก ‘เหมืองเมียนมา’ ที่ดูเหมือนไร้การควบคุม สู่แม่น้ำในไทยที่ปนเปื้อนสารหนู ชีวิตคนและสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีวันฟื้นคืน
KEY
POINTS
- เหมืองจีนในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แร่หายากถูกแยกสกัดด้วยสารเคมีรุนแรง โดยการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยจะมีหรือไม่ ได้กลายเป็นสิ่งที่สาธารณะตั้งคำถามขึ้น
- คนงานเหมืองที่รัฐคะฉิ่นเผยว่า “แค่กลิ่นสารเคมีสกัดแร่เข้าไปในปาก ก็รู้สึกเหมือนกินเข้าไป รสชาติเหมือนน้ำกรดจากแบตเตอรี่ แสบลิ้น แม้สวมหน้ากากอยู่ ก็ยังรู้สึกแสบคอ ไอไม่หยุด”
- การนำเข้าแร่หายากจากเมียนมา เข้าสู่จีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับเดิมที่ 19,500 ตันในปี 2021 พุ่งขึ้นเป็น 41,700 ตันในปี 2023 ตอกย้ำบทบาท “เมียนมา” ผู้ผลิตแร่หายาก “ระดับต้นน้ำ” ให้กับจีน
จากกรณีวิกฤติ “แม่น้ำกก” และ “แม่น้ำสาย” ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายที่ปนเปื้อนสารหนู สารตะกั่วเกินมาตรฐานนั้น พบว่าต้นตอมาจาก “เหมืองแร่ของทุนจีน” ในเมียนมา ตามข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ซึ่งเหมืองเหล่านี้ ไม่ได้มีการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม และบำบัดก่อนปล่อยออกสู่ธรรมชาติที่มีมาตรฐานเพียงพอ จนทำให้โลหะหนักและสารเคมีต่าง ๆ จากการขุดแร่ ปนเปื้อนแม่น้ำระหว่างประเทศทั้งสองสายนี้ ซึ่งสถานการณ์ยังคง “วิกฤติ” เนื่องจากทางการไทยสั่งห้ามใช้น้ำเหล่านี้ รวมถึงเหล่าสัตว์น้ำ ก็อาจสะสมโลหะหนักด้วย
ต้นตอของปัญหา จนลุกลามมาถึงไทย เริ่มต้นจากกระแสรถยนต์ไฟฟ้า ชิป สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่บูมขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ความต้องการ “แร่หายาก” ในการเป็นวัตถุดิบสำคัญพุ่งขึ้นตาม ซึ่งจีนครองการผลิตแร่หายากทั่วโลกถึง 70% ตามข้อมูลจาก Now-Gmbh องค์กรวิจัยของรัฐบาลเยอรมนี
เพียงแต่สิ่งที่ต้องแลก คือ ความเสื่อมโทรมด้านสิ่งแวดล้อม และปัญหาสุขภาพของชุมชนใกล้เหมืองในจีน นั่นจึงทำให้ในยุคหลัง ทางการจีนจึงหันมาเข้มงวดด้านการทำเหมือง ปราบปรามเหมืองเถื่อนต่าง ๆ จนเหมือนเหล่านี้เลือกย้ายฐานออกมา และสวรรค์แห่งใหม่ คือ “เมียนมา” ประเทศในยุคสงครามการเมือง ปืนขึ้นมาเป็นใหญ่ การบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่อ่อนแอ และนี่อาจเปิดช่องในการทำเหมืองแบบ “กดต้นทุนให้ต่ำที่สุด”
- ตะกอนแร่หายาก จะถูกเก็บรวมไว้ในบ่อที่มีสารเคมีพิษหลากหลายชนิดปะปนอยู่ด้วย (เครดิต: Global Witness) -
ในรัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือของเมียนมา ใกล้ชายแดนจีน พื้นที่ป่าเขากำลังกลายเป็นเหมืองกลางแจ้งจำนวนมากหลายร้อยแห่ง และทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง แต่ตกอยู่ในการควบคุมของ “องค์กรเอกราชคะฉิ่น” (Kachin Independence Organization :KIO) กลุ่มชาติพันธุ์คะฉิ่นติดอาวุธที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมาในขณะนี้
หลังจาก KIO ยึดอำนาจจากกองกำลังรัฐบาลกลางได้ในช่วงปลายปี 2024 จำนวนเหมืองในเมือง Momauk ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แร่หายากถูกแยกสกัดด้วยสารเคมีรุนแรง เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต และปล่อยน้ำเสียปนเปื้อนลงสู่ลำธาร โดยการบำบัดน้ำจะมีหรือไม่ ได้กลายเป็นสิ่งที่สาธารณะตั้งคำถามขึ้น
กลิ่นเหม็นของสารเคมีลอยคลุ้งในอากาศตลอดเวลา ทีมวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมระบุว่า พวกเขาไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้นานเกิน 30 นาที เพราะอากาศปนเปื้อนจนหายใจติดขัด
ในขณะที่แรงงานเหมือง มักเป็นชายหนุ่มวัยรุ่น หรือชาวบ้านไร้ทางเลือก กลับต้องทำงานวันละหลายชั่วโมงโดยไม่มีเครื่องป้องกันที่มีมาตรฐาน ตามข้อมูลการลงพื้นที่ของนักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม
“กากแร่หายากเหล่านี้ จะถูกทำให้แห้งในเตาเผาที่ใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง และพื้นที่ใกล้เหมือง ก็จะมีกลิ่นเหม็นตลบอบอวลอยู่ตลอดเวลา” ลาทอว์ ไค่กล่าว พร้อมเสริมว่าเธอและทีมวิจัยไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้นานเกิน 30 นาที เพราะอากาศหายใจลำบาก
“แต่คนงานยังคงทำงานอยู่ที่นั่นโดยไม่มีถุงมือหรือหน้ากาก บริษัทไม่ได้จัดหาอุปกรณ์ป้องกันใด ๆ เลย เมื่อคนงานป่วย บริษัทก็ไล่ออก แล้วจ้างคนใหม่มาแทน” เธอกล่าวเสริม
ไม่เพียงเท่านั้น ชาวบ้านคนหนึ่งแถวพื้นที่เหมืองในเมือง Chipwi ของรัฐคะฉิ่นกล่าวกับ Global Witness องค์กรสากลด้านสิ่งแวดล้อมว่า “ตอนนี้ไม่มีปลาเหลืออยู่ในแหล่งน้ำแล้ว ถ้าเดินลงไปในน้ำ ผิวหนังจะคันและเกิดการติดเชื้อ สัตว์ที่ดื่มน้ำก็ตาย”
- สารพิษที่รั่วไหลจากบ่อ กำลังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณใกล้เคียง (เครดิต: Global Witness) -
ดิน น้ำ ชีวิต ราคาที่แท้จริงของแร่หายาก
นอกจากนี้ อาห์ บรัง คนงานเหมืองที่เมือง Pangwa รัฐคะฉิ่น ได้แบกถุงใส่กรดไปที่บ่อ พร้อมใช้ไม้ค่อยๆคนกรดผสมลงไปในน้ำ
“แค่กลิ่นเข้าไปในปาก ก็รู้สึกเหมือนเรากินมันเข้าไปเลย” บรังกล่าว “รสชาติเหมือนน้ำกรดจากแบตเตอรี่ เปรี้ยวจัด แสบลิ้น แม้จะสวมหน้ากากอยู่ ก็ยังรู้สึกแสบคอ และไอไม่หยุด”
อาห์ บรังทำงานกับกรดออกซาลิก (Oxalic acid) ซึ่งแรงกว่ากรดน้ำส้มสายชู 10,000 เท่า โดยเป็นสารเคมีมีพิษที่ใช้สำหรับแยกและทำความสะอาดแร่หายาก หลังจากที่ถูกชะล้างออกมาจากภูเขาแล้ว
กระบวนการเริ่มต้นจากในบริเวณที่สูงเหนือบ่อ คนงานจะฉีดสารแอมโมเนียมซัลเฟตเข้าไปในดินผ่านเครือข่ายท่อ เมื่อสารละลายไหลลงมาตามแนวลาดของภูเขา จะดึงเอาแร่หายากติดมาด้วย แต่ทั้งหมดนี้ก็มาพร้อมกับผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม
ผลกระทบตกอยู่กับคนงานและชาวบ้านในพื้นที่โดยตรง ทั่วทั้งเขตเหมือง คนงานจำนวนมากบ่นว่ามีอาการไอ มือเท้าชา เป็นโรคผิวหนัง และมีปัญหาเกี่ยวกับไต ซึ่งล้วนเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพที่รู้กันดีว่า เกิดจากสารเคมีหลายชนิดจากการทำเหมือง
องค์กร Global Witness ได้สัมภาษณ์ภรรยาและแม่ของคนงานเหมืองสองคนที่เสียชีวิตไม่นานหลังจากถูกให้ออกจากงาน ทั้งสองมีอาการระบบทางเดินอาหารรุนแรง เช่น อวัยวะภายในฉีกขาด และมีของเหลวสะสมในช่องท้อง
ครอบครัวของพวกเขาเชื่ออย่างยิ่งว่า สาเหตุการเสียชีวิตมาจากการได้รับสารเคมี แต่ก็ไม่มีใครในสองคนนี้ได้รับการวินิจฉัยโรคอย่างเป็นทางการ
หนึ่งในผู้เสียชีวิตคือสามีและพ่อคนใหม่ ส่วนอีกคนเป็นเด็กชายวัยเพียง 15 ปี
“อวัยวะภายในของเขาเน่าไปหมดแล้ว” ภรรยาของคนงานกล่าว “ถ้าเจ้าของเหมืองอธิบายความเสี่ยงเหล่านี้ตั้งแต่แรก ใครจะกล้าไปทำงานที่นั่น?”
สารเคมีพิษเหล่านี้กำลังซึมลงไปในลำธารที่ชาวบ้านเคยใช้จับปลา และตักน้ำมาดื่มกิน โดยลำธารหลายสายในรัฐคะฉิ่นนี้ มีค่าความเป็นกรดสูงมาก และมีสารหนูใน “ระดับอันตราย”
“ทุกอย่างพังหมดแล้ว” อาห์ บรังกล่าว “ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นอีกต่อไป จับปลาตามลำธารก็ไม่ได้อีกแล้ว สัตว์หลายตัวตายเพราะกินน้ำนั้นเข้าไป”
จีน ลูกค้ารายใหญ่ของแร่เมียนมา
ขณะที่จีนไล่ปราบเหมืองแร่ในประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่ขณะเดียวกัน จีนก็ยังคงรับซื้อแร่ที่ขุดจากเมียนมาด้วย โดยการนำเข้าแร่หายากชนิดหนักจากเมียนมา เข้าสู่จีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับสูงสุดเดิมที่ 19,500 ตันในปี 2021 พุ่งขึ้นเป็น 41,700 ตันในปี 2023 ตามข้อมูลกรมศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นสิ่งที่ตอกย้ำบทบาท “เมียนมา” ในฐานะผู้ผลิตแร่หายาก “ระดับต้นน้ำ” ให้กับจีน
แร่เหล่านี้ก็จะถูกแยกและแปรรูปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในจีน จากนั้นจึงกระจายไปยังผู้ผลิตแม่เหล็กถาวร หรือชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ท้ายที่สุด เราอาจพบว่าแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ดังต่าง ๆ หรือแม้แต่กังหันลมในยุโรป ล้วนมีร่องรอยของแร่หายากที่ได้มาจากพื้นที่สีเทาเหล่านี้
เดวิด เมอร์ริแมน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัทที่ปรึกษา Project Blue กล่าวว่า “การใช้แร่หายากที่มีแหล่งกำเนิดจากเมียนมา ในมอเตอร์รถอีวีของแบรนด์ดังตะวันตกหลายเจ้านั้น แทบจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย”
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ในห่วงโซ่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ “ต้นทุนที่แท้จริง” กลับถูกผลักภาระไปที่ชุมชนท้องถิ่น สิ่งแวดล้อมในเมียนมาและลุกลามมาถึงไทย นี่อาจกลายเป็น “หายนะเงียบ” ที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงในกระแสหลัก
อ้างอิง: reuters, dw, global







