‘สื่อมวลชน’ กำลังสำคัญ สร้างความเข้าใจ ‘ไทย-กัมพูชา’

ความขัดแย้งพรมแดนไทย-กัมพูชานั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน นอกจากภาครัฐมีหน้าที่เจรจาร่วมกันเมื่อเปิดดปัญหาแล้ว "สื่อมวลชน" ก็เป็นอีกกำลังสำคัญที่จะช่วยบรรเทาความขัดแย้งด้วยการนำเสนอข่าวที่ถูกต้องและไม่บิดเบือน
สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบันคุกรุ่นมากขึ้น หลังจากเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ในช่วงเช้ามืดวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุดทหารทั้งสองฝ่ายยอมถอนกำลังออกจากพื้นที่ดังกล่าวเพื่อลดความขัดแย้งแล้ว หลังจากนี้ไทยและกัมพูชาเตรียมประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมประมาณกลางเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อร่วมกันหาทางออกอย่างสันติต่อไป
ย้อนกลับไปช่วงก่อนเกิดเหตุปะทะ กรุงเทพธุรกิจได้เข้าร่วมโครงการโครงการเสริมสร้างองค์ความรู้สื่อมวลชน “ความมั่นคงและผลประโยชน์ร่วมเพื่อประชาชน” ระหว่างวันที่ 22-25 พ.ค. จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา และมูลนิธิไทย โครงการนี้ได้นำสื่อไทยพบปะกับเจ้าหน้าที่รัฐกัมพูชาหลายฝ่ายร่วมถึงเพื่อนๆ สื่อกัมพูชา ทำให้เห็นว่ากัมพูชามีจุดประสงค์เดียวกันกับไทยคือ ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งในชายแดน เพราะเป็นหนึ่งในด่านหน้าสำคัญทั้งด้านการค้าและการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน และสื่อมีส่วนสำคัญในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับประชาชน ด้วยการนำเสนอข่าวที่ถูกต้องและไม่บิดเบือน
วณริธ เจียง ประธานสภาที่ปรึกษารัฐสภากัมพูชา ภาพจากสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
วณริธ เจียง (Vaanarith Chheang) ประธานสภาที่ปรึกษารัฐสภากัมพูชา กล่าวว่า สื่อมีบทบาทสำคัญต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงสร้างความเข้าใจผิด
“ความสัมพันธ์ในระดับบุคคลมีความสำคัญมากที่สุดในการทูต ตราบใดที่เราเข้าใจกันและกัน และเป็นเพื่อนกัน เราสามารถคุยอะไรก็ได้”
วณริธกล่าวว่า กัมพูชาพยายามนำเสนอข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของเพื่อนบ้าน เพราะเพื่อนบ้านเป็นพันธมิตรสำคัญที่สุดสำหรับกัมพูชาในนโยบายการต่างประเทศ รองลงมาเป็นประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐ จีน และประเทศมหาอำนาจขนาดกลาง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ถัดมาอีกระดับคือ พันธมิตรภูมิภาคอื่นๆ เช่น ยุโรป และลาตินอเมริกา ฯลฯ
ภาพรวมความสัมพันธ์ ประธานสภาที่ปรึกษารัฐสภากล่าวว่า กัมพูชามีความร่วมมือเชิงยุทศาสตร์กับเกาหลีใต้และไทย และมีความร่วมมือระดับครอบคลุมกับจีนและญี่ปุ่น ส่วนลาวและเวียดนามเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างพิเศษ ปัจจุบันกัมพูชากำลังเจรจายกระดับความสัมพันธ์เชิงยุทศาสตร์กับออสเตรเลีย อินเดีย และฝรั่งเศสด้วย
สำหรับประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงข้อพิพาททางทะเล วนริธเผยว่า เจ้าหน้าที่รัฐในระดับต่างๆ ทั้งระดับรัฐบาล รัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงระดับประชาชนและสื่อในกัมพูชา ต่างทราบดีว่าไม่ควรสร้างความขัดแย้งกับไทย
“เราต้องอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข ตอนนี้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว และพวกเราไม่ต้องการเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นอีกในภูมิภาคอาเซียน เราอยากโฟกัสด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ”
ฮก โซะเพีย รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ภาพจากสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
ด้านฮก โซะเพีย รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชายืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุด ทั้งสองฝ่ายมีมิตรภาพที่ดีระหว่างครอบครัวของนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่มีความใกล้ชิด แต่ขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อนในหลายระดับ
สำหรับปัญหาในชายแดน ฮกเผยว่าทางการมีกลไกหลายระดับในการแก้ไขปัญหา แต่ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเกิดปัญหาใดๆ ที่ชายแดน สื่อมวลชนในกัมพูชาเลือกที่จะเงียบก่อนเพื่อรอยืนยันข่าวสารจากทางการ และให้ทหารหรือเจ้าหน้าที่ในชายแดนจัดการสถานการณ์ก่อน เพื่อไม่ให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น
รองโฆษกฯ กล่าวว่า ประเด็นชายแดนนั้นมีความละเอียดอ่อนอย่างมาก และกัมพูชาเองก็ไม่อยากให้เกิดการเผชิญหน้า เพราะประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการค้าบริเวณชายแดน ทุกคนล้วนอยากให้สถานการณ์ชายแดนสงบ
นอกจากนี้ในไทยมีแรงงานกัมพูชาหลายแสนคน ขณะที่กัมพูชาก็มีนักลงทุนไทยเข้าไปทำธุรกิจจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในด้านการค้าและเศรษฐกิจ ซึ่งกัมพูชาก็ไม่ต้องการให้ความขัดแย้งใดๆ ส่งผลกระทบต่อภาคส่วนที่สำคัญนี้เช่นกัน
ฮกย้ำด้วยว่า ปัญหาชายแดนควรแก้ไขผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการดำเนินงานของไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน หลังเกิดความขัดแย้งเมื่อวันที่ 28 พ.ค. โดยคณะกรรมาธิการเขตแดนของไทยและกัมพูชาเตรียมหารือกันกลางเดือนมิ.ย.นี้
เปญ โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ยืนยันอีกเสียงว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ดีมาก การมาเยือนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันในหลายด้าน และมีความมั่งมุ่นเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อผลประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย
ส่วนประเด็นความขัดแย้งระหว่างกันที่บางครั้งทวีความรุนแรงมากนั้น เปญเผยว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโพสต์ต่างๆ ในโซเชียลมีเดียจากคนบางกลุ่ม สื่อหลักจึงมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอข่าวเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชน และว่าทางการกัมพูชาไม่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเรื่องพรมแดน บางครั้งอาจเห็นรัฐบาลเงียบไม่ตอบโต้ประเด็นในโซเชียล นั่นเป็นเพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเจรจา และต้องการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสองประเทศได้เจรจาตัวต่อตัว บนพื้นฐานของกฎหมาย รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ
จะเห็นได้ว่า รัฐบาลกัมพูชามีความมุ่งมั่นเช่นเดียวกับไทยในการรักษาความสงบสุขบริเวณชายแดน เพื่อรักษาความความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ขณะที่สื่อก็เป็นอีกกำลังสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชน ซึ่งสื่อเองก็ควรมีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และตรวจสอบข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ ให้รอบคอบก่อนนำเสนอข่าวด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดหรือบิดเบือน และลดความขัดแย้งไม่ให้บานปลายมากขึ้น







