ธุรกิจราคาประหยัด ผู้รอดในยุคเงินฝืดจีน สวนทางแบรนด์ไฮเอนด์ที่ต้องดิ้นรน

ใครคือผู้อยู่รอดในจีนยุค ‘เงินฝืด’ ธุรกิจราคาประหยัดมีรายได้โต สวนทางธุรกิจไฮเอนด์ที่ต้องดิ้นรนท่ามกลางการบริโภคที่ซบเซา
ท่ามกลางเศรษฐกิจยุค “เงินฝืด” ในประเทศจีน กำลังทำให้ธุรกิจและร้านอาหารต่างกำลังคิดหนักเรื่อง “ต้นทุน” โดยเฉพาะธุรกิจระดับไฮเอนด์ที่ต้องดิ้นรนเพื่อเพิ่มยอดขายในสถานการณ์นี่ แต่ทว่าธุรกิจที่นำเสนอสินค้าและบริการ ”ราคาประหยัด“ กลับมีรายได้เพิ่มขึ้น
บรรดาธุรกิจพรีเมียมเผชิญกับยอดขายที่ลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบหนักจากการบริโภคที่ชะลอตัว เช่น ยอดขายของร้านขายเครื่องประดับ Chow Tai Fook Jewellery Group ลดลง 12% และ Quanjude เครือร้านอาหารหรูที่ขายเมนูเป็ดปักกิ่งรสเลิศ กลับมีรายได้ลดลง 7% โดยโจว หยานหลง ผู้จัดการร้าน Quanjude บอกว่าตอนนี้ผู้บริโภคกำลังมองหาร้านค้าที่มีราคาถูกมากขึ้น
หรือแม้แต่กลุ่มบริษัทหวางฝู่จิงซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ โดยกลุ่มห้างสรรพสินค้าหลักมีรายได้ลดลง 14% แต่รายได้กลุ่มค้าปลีกกลับเพิ่มขึ้น 4% สะท้อนว่าลูกค้าชาวจีนเลือกซื้อสิ้นค้าในร้านค้าปลีกมากกว่าให้ห้างสรรพสินค้า เนื่องจากราคาสินค้าที่ถูกกว่ามาก ในขณะที่คุณภาพเหมือนกัน
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นสอดคล้องกับยอดขายปลีกของจีนขยายตัวเพียง 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ระดับ 12.4 ล้านล้านหยวน ซึ่งต่ำกว่าการเติบโตในเกณฑ์ปกติที่ระดับ 10%
การใช้จ่ายของผู้บริโภคคิดเป็นประมาณ 40% ของ GDP ทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญในการประชุมแห่งชาติเมื่อเดือนมี.ค. โดยมุ่งเน้นการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ "ในทุกด้าน" ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญประการแรกที่นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง กล่าวถึงในรายงานการทำงานของรัฐบาล
LVMH ออกโรงเตือนคนจีนใช้จ่ายน้อยลง
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LVMHกล่าวว่าลูกค้าชาวจีนเริ่มชะลอการเดินทางและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือยที่ลดลงอาจยังคงมีต่อไปอีกระยะหนึ่ง
“ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางและซื้อของน้อยลง” ขณะออกนอกประเทศ Stephane Bianchi กล่าวกับสมาชิกรัฐสภาฝรั่งเศสในระหว่างการพิจารณาคดีเมื่อวันพุธ
มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของ Bloomberg เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งระบุว่า LVMH ผู้นำในธุรกิจสินค้าหรูหรา ได้ส่งสัญญาณเตือนถึงความต้องการที่ลดลง โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของปีนี้ รายได้ของ LVMH ในภูมิภาคเอเชีย (รวมถึงจีน) ลดลงถึง 11% เมื่อพิจารณาจากรายได้ปกติ และคาดการณ์ว่ายอดขายจะยังคงลดลงตลอดทั้งปี เหมือนกับปี 2024
‘ธุรกิจราคาประหยัด‘ คือผู้อยู่รอด
ขณะเดียวกันราคาอาหารและธุรกิจที่มีจุดขายด้านราคาจับต้องได้กลับมียอดขายที่เพิ่มขึ้น โดย Luckin Coffee ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นเครือร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในจีน รายงานว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 41% ในไตรมาสแรก สวนทางยอดขายสตาร์บัคส์ในจีนที่เติบโตเพียง 5%
ผู้บริโภคในจีนต่างวิจารณ์รสชาติของร้านกาแฟทั้ง 2 แบรนด์ที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ราคาขายของสตาร์บัคส์ ซึ่งมีราคาประมาณ 30 หยวน แต่กาแฟของลัคกิ้นส์กลับมีราคาถูกกว่าเกือบครึ่ง
นอกจากนี้ ชาวจีนยังมองหากิจกรรมราคาประหยัด เช่น การไปดูหนังกลายเป็นความบันเทิงที่ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการไปเที่ยวอื่นๆ ทำให้ Wanda Film Holding โรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดในจีน มีรายได้เพิ่มขึ้น 23%
แม้แต่ผู้ที่สามารถจ่ายค่าเดินทางได้ก็ยังประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องอื่นๆ สะท้อนจากยอดการเข้าพักของ H World Group ซึ่งบริหารโรงแรมราคาประหยัดและราคาปานกลางสูงถึง 76% และมีรายได้เพิ่มขึ้น 2% ทำให้บริษัทกำลังเร่งเปิดที่พักเพิ่มเติม โดยวางแผนเปิดที่พักใหม่ประมาณ 2,300 แห่งภายในปีนี้เพียงปีเดียว







