‘กัมพูชา’ ขึ้นแท่น ‘ศูนย์กลางฉ้อโกงระดับโลก’ รายได้สแกมแซงอุตสาหกรรมหลักประเทศ

‘กัมพูชา’ ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่ง ‘ธุรกิจสีเทา’ และ ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ที่เฟื่องฟูอย่างน่าตกใจ โดยมีกลุ่มอาชญากรจีนเป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญ มูลค่ารายได้ผิดกฎหมายเหล่านี้แซงหน้าอุตสาหกรรมหลักของประเทศไปแล้ว หากปล่อยไว้โดยไม่เร่งจัดการ อาจจะ ‘ใหญ่เกินกว่าจะล้มได้’
KEY
POINTS
- รายได้ของสแกมหลอกลวงในกัมพูชา อยู่ที่ราว 4-6 แสนล้านบาท ซึ่ง ‘สูงกว่า’ รายได้จากภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
- เศรษฐกิจการหลอกลวงของกัมพูชา มีกำลังแรงงานที่ถูกบีบบังคับกว่า 150,000 คน
- การหลอกลวงแบบ ‘ขุนหมูก่อนเชือด’ โดยคนร้ายจะทำให้เหยื่อเชื่อใจด้วยความรัก ก่อนจะเชือด เป็นวิธีที่แพร่หลายที่สุดในอาเซียน
“กัมพูชา” นอกจากภาพประเทศที่มีนครวัด นครธมอันงดงามแล้ว ยังเกิดกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับ “ธุรกิจสีเทา” และ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่หลั่งไหลเข้ามาตั้งฐาน จนกลายเป็นแหล่งรายได้มหาศาลของประเทศแห่งนี้
ในรายงาน “Policies and Patterns: State-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a Global Security Threat” ซึ่งเขียนโดย “เจคอบ ซิมส์” (Jacob Sims) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและความมั่นคงในภูมิภาค ได้เปิดเผยว่า “กัมพูชา” กำลังกลายเป็น “ศูนย์กลางของเศรษฐกิจการหลอกลวง” ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยมี “กลุ่มอาชญากรจีน” เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งขนาดของกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย กำลังคุกคามเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับโลก และกำลังเติบโตอย่างเฟื่องฟูผ่านการทุจริตที่ดูเหมือนถูกเพิกเฉยจากรัฐ
ซิมส์เตือนว่า อุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์นี้มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในอาเซียน และถ้าปล่อยไว้โดยไม่รีบจัดการ ในไม่ช้าอาจ “ใหญ่เกินกว่าจะล้มได้”
‘กัมพูชา’ ศูนย์รวมแห่งแก๊งฉ้อโกง
รายงานดังกล่าวตามที่หนังสือพิมพ์เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์นำเสนอ ได้ระบุว่า ในขณะที่เมียนมาและลาวมีเศรษฐกิจภาคการหลอกลวงที่เติบโตสูง แต่ประเทศหนึ่งที่มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าสองประเทศนี้ คือ “กัมพูชา” ซึ่งมีศักยภาพเป็นฮับแห่งการฉ้อโกงในปี 2025 นี้
รายงานของซิมส์ ซึ่งตีพิมพ์โดย Humanity Research Consultancy มีขึ้นหลังจากการประเมินที่น่าตกใจของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดของอาชญากรรมข้ามชาติที่มีฐานจากในอาเซียน และได้ขยายขอบเขตไปยังแปซิฟิก, เอเชียใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา และอเมริกาใต้
ตามข้อมูลของ UNODC กลุ่มอาชญากรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วจากการผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ไปสู่คาสิโนที่ไม่มีการควบคุม และการพนันออนไลน์
ในปัจจุบัน อาชญากรในภูมิภาคแห่งนี้ ได้ขึ้นนำด้านการฉ้อโกง และการหลอกลวงทางไซเบอร์ในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งดำเนินการโดยเครือข่ายค้ามนุษย์ ผู้ฟอกเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และนายหน้าข้อมูล
รายงานยังระบุอีกว่า การรับสมัครที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบและซับซ้อนมากขึ้น ได้ดึงดูดคนหนุ่มสาวจำนวนมากจากกว่า 60 ประเทศ ที่มักมีความสามารถ แต่ขาดโอกาสการทำงาน ให้ตกเป็นเหยื่อ โดยผ่านข้อเสนอการจ้างงานที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้วเป็นการหลอกลวง
บางคนอาจกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายโดยสมัครใจ แต่น่าเศร้าที่หลายคนกลับต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย ต้องตกเป็นทาส ถูกข่มขู่กรรโชกและเรียกค่าไถ่ รวมถึงถูกบังคับขู่เข็ญอย่างรุนแรง ตั้งแต่การถูกทุบตี ทรมาน ไปจนถึงการฆาตกรรม
- ลวดหนามล้อมรอบอาคารของขบวนการหลอกลวงทางไซเบอร์ ในเมืองสีหนุวิลล์ กัมพูชา ซึ่งทางการระบุว่า พบหลักฐานการค้ามนุษย์ การลักพาตัว และการทรมานในพื้นที่ดังกล่าว (ที่มา: Reuters) -
หลอกแบบ ‘ขุนหมูก่อนเชือด’ แพร่หลายที่สุดในอาเซียน
UNODC ชี้ว่า เครือข่ายอาชญากรเหล่านี้มีความสามารถพิเศษในการปรับตัวและเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไว พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากช่องว่างในการกำกับดูแล และผสมผสานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลอันล้ำสมัย เพื่อสร้างโอกาสในการหลอกลวงรูปแบบใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างเช่น พวกเขาพัฒนาระบบประมวลผลการชำระเงิน และศูนย์ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่ไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้เองจากข้อมูลในการสร้าง Deep Fakes (การปลอมคลิปบุคคลให้พูดหรือแสดงท่าทางในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนอย่างสมจริง) เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าและบริการที่เป็นการฉ้อโกง
“เฉพาะในสหรัฐเพียงแห่งเดียว ทางการรายงานความเสียหายทางการเงินจากการหลอกลวงด้วยคริปโทเคอร์เรนซีมากกว่า 5,600 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 โดยประมาณ 4,400 ล้านดอลลาร์ มาจากการหลอกลวงแบบ ‘Pig Butchering’ (การขุนหมูก่อนเชือด) โดยคนร้ายจะทำให้เหยื่อเชื่อใจ ใช้ความรักหลอกล่อให้ลงทุนเพิ่มเรื่อย ๆ ก่อนจะเชือด (คือ เชิดเงินทั้งหมดหนี) ซึ่งเป็นวิธีแพร่หลายที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” รายงานระบุ
UNODC คำนวณว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สูญเสียเงินจากการฉ้อโกงทางไซเบอร์สูงถึง 37,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาทในปี 2023 และมีการรายงานความเสียหายที่สูงกว่ามากทั่วโลก
หน่วยงานในสหประชาชาตินี้กล่าวเสริมว่า ตลาดออนไลน์ผิดกฎหมายแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นในอาเซียน ได้เพิ่มผลกำไรของอาชญากรให้สูงขึ้นไปอีก หลายครั้งที่ผ่านบริการฟอกเงินที่เกี่ยวข้อง ทำให้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ถูกผนวกรวมเข้าสู่ระบบการเงินโลก
ธุรกิจหลอกลวง รายได้ ‘ดีกว่า’ อุตสาหกรรมหลักประเทศ
งานวิจัยของซิมส์ ยังชี้ให้เห็นว่า อาชญากรรมไซเบอร์ในปัจจุบัน น่าจะเป็น “เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแม่โขง” โดยสร้างรายได้คิดเป็น 40-60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของกลุ่มประเทศที่มีเครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่ ซึ่งได้หลอกลวงเงินจากผู้คนทั่วโลกไปเป็นมูลค่า 50,000-75,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6-2.4 ล้านล้านบาทในแต่ละปี
ซิมส์ ซึ่งเป็นนักวิจัยรับเชิญของศูนย์เอเชีย ประจำมหาวิทยาลัย Harvard เปิดเผยว่า เศรษฐกิจการหลอกลวงของกัมพูชา มีกำลังแรงงานที่ถูกบีบบังคับกว่า 150,000 คน โดยผลการค้นพบนี้อ้างอิงจากการวิจัยเอกสารอย่างละเอียดและการสัมภาษณ์นักข่าว นักการทูต นักวิเคราะห์ รวมถึงเหยื่อการค้ามนุษย์หลายสิบคน
“ธุรกิจหลอกลวง (Scamming) ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมประเทศที่สร้างผลกำไรมหาศาล ซึ่งน่าจะไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์กัมพูชา โดยประมาณการรายได้ต่อปีอยู่ที่ 12,500-19,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 400,000-600,000 ล้านบาท ซึ่ง ‘สูงกว่า’ รายได้จากภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ” ซิมส์กล่าว
รัฐบาลเอี่ยวรายได้ผิดกฎหมาย?
ในประเทศอย่าง “กัมพูชา” ที่จมปลักอยู่กับการทุจริตมาอย่างยาวนาน และรั้งท้ายในดัชนีธรรมาภิบาลโลก บุคคลสำคัญจาก “พรรคประชาชนกัมพูชา” (Cambodian People's Party - CPP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล มีความเชื่อมโยงกับ “รายได้ผิดกฎหมาย” มานานหลายทศวรรษ ตั้งแต่การลักลอบขนของผิดกฎหมาย การตัดไม้ทำลายป่า การทำเหมือง และการยึดครองที่ดินโดยมิชอบ
สำหรับประเด็นนี้ “นีล ลอฟลิน” (Niel Loughlin) อาจารย์อาวุโสสาขาการเมืองจาก City, University of London และเป็นผู้เขียนหนังสือ “The Politics of Coercion: State and Regime making in Cambodia” (การเมืองแห่งการบีบบังคับ: การสร้างรัฐและระบอบการปกครองในกัมพูชา) ให้รายละเอียดว่า การที่พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) รวบอำนาจมาตลอดสี่ทศวรรษนั้น ได้รับการค้ำจุนโดยระบบอุปถัมภ์ ที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งปันผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ถูกอาชญากรเข้าครอบงำ
ลอฟลินเผยว่า “ความสำเร็จของพรรค CPP มาจากการที่พรรคสามารถจัดสรรทรัพยากรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงการปราบปรามผู้เห็นต่างได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง"
“การดำเนินการเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของ ‘ฮุน เซน’ (อดีตนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนาน) ซึ่งเงินที่ได้มา ถูกนำไปใช้เพื่อซื้อความจงรักภักดีของหน่วยงานความมั่นคงของรัฐ ทำให้หน่วยงานเหล่านี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ออกของพรรคในปัจจุบัน”
ในกลุ่มพวกนี้ มีนักธุรกิจใหญ่หลายคน เช่น “ตรัย เพียบ” (Try Pheap) ผู้ที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตร และ “ลี ยง พัฒน์” (Ly Yong Phat) วุฒิสมาชิกจากพรรคประชาชนกัมพูชา และเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทั้ง ฮุน เซน และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน โดยลี ยง พัฒน์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคารที่ใช้ฉ้อโกงทางไซเบอร์ และธุรกิจการพนันออนไลน์ในจังหวัด “อุดรมีชัย” และ “เกาะกง” ในกัมพูชา
นอกจากนี้ ยังมีมหาเศรษฐีกัมพูชา เช่น “ก๊ก อาน” (Kok An) วุฒิสมาชิกพรรค CPP ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารธุรกิจหลอกลวงหลายแห่งใน “ปอยเปต” และ “สีหนุวิลล์” และยังเป็นคนใกล้ชิดกับฮุน เซนมาอย่างยาวนานอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การสืบสวนของหลายหน่วยงานและนักวิเคราะห์ด้านบล็อกเชนระบุว่า แพลตฟอร์ม Huione Guarantee ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงพนมเปญ และเพิ่งเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น “Haowang” เป็นหนึ่งในตลาดออนไลน์ผิดกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยให้เกิดการฉ้อโกงทางไซเบอร์ในอาเซียน
UNODC ระบุว่า แพลตฟอร์มนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน มีผู้ใช้งานเกือบ 1 ล้านคน ผู้ค้าที่เชื่อมโยงกันหลายพันราย และมีตลาดฟอรัมดิจิทัล การพนันออนไลน์ และบริการฟอกเงินเกี่ยวข้อง ที่น่าตกใจ คือ มีการตรวจสอบพบเงินกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7.8 แสนล้านบาทไหลเวียนผ่านแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่ปี 2022
“งานวิจัยเผยให้เห็นว่า ฮุน โต ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของ ฮุน มาเนต ดำรงตำแหน่งอยู่ในคณะกรรมการบริษัท Huione” ซิมส์กล่าว “บันทึกสาธารณะยังเปิดเผยว่า ซาร์ สกคา (Sar Sokha) ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา เป็นผู้ร่วมลงทุนในการก่อสร้างหนึ่งในอาณาจักรธุรกิจหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุด และฉาวโฉ่มากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ”
การสืบสวนยังเปิดเผยว่า “เฉิน จื้อ” (Chen Zhi / 陈志) ประธานของ Prince Holding Group เกิดในประเทศจีน แต่ได้รับสัญชาติกัมพูชาในปี 2014 โดยเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท Prince ขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, การธนาคาร, การเงิน, อาหาร และการท่องเที่ยวในกัมพูชา ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นบุคคลสำคัญในวงการอาชญากรรมของจีน และเป็นผู้ลงทุนหลักในคาสิโน Jinbei ของสกคา
- คาสิโนจิน เป้ย (ที่มา: เฟสบุ๊ค Jin Bei Casino) -
ไม่เพียงเท่านั้น เฉิน จื้อ ยังเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของพรรคประชาชนกัมพูชา และเป็นที่ปรึกษาระดับคณะรัฐมนตรีให้กับทั้งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และคนก่อน
มีรายงานว่า เฉิน จื้อ ถูกกล่าวหาโดยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในเอกสารของศาลจีนว่า เป็นหนึ่งในอาชญากรไซเบอร์ชาวจีนที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการหลอกลวงของกัมพูชา
คำแถลงของศาลเขตหว่านช่าง มณฑลเสฉวน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2022 ระบุว่า กลุ่มบริษัทพรินซ์มีรายได้ที่ได้มาโดยมิชอบจากกิจกรรมการพนันตั้งแต่ปี 2016 เป็นจำนวนเงินกว่า 5 พันล้านหยวน
อย่างไรก็ตาม เฉิน จื้อ และ Prince Group ได้ปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาชญากรรม
เพื่อคลายความกังวลจากนานาชาติที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กัมพูชาได้เปิดตัวโครงการและปฏิบัติการของตำรวจ โดยดูเหมือนปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์มองว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง “การจัดฉาก” เท่านั้น รายงานของ UNODC ระบุว่า แม้การกระทำดังกล่าวจะชะลอการขยายตัวในพื้นที่ที่เห็นได้ชัด แต่กลับส่งผลให้อาชญากรรมไซเบอร์ไปแพร่กระจาย และเติบโตอย่างรวดเร็วในพื้นที่ห่างไกลแทน ดังนั้น ความหวังว่าจะมีการปราบปรามอย่างจริงจังในเร็ววันนี้ ยังคงเป็นไปได้น้อย
ลอฟลินชี้ว่า “รายได้จากอาชญากรรม” เป็นแกนสำคัญของวัฒนธรรมการเมืองกัมพูชามาอย่างยาวนาน ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างเสถียรภาพ ในช่วงเวลาที่กัมพูชากำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
“เศรษฐกิจของกัมพูชา มีปัญหาเชิงโครงสร้างมาอย่างยาวนาน ซึ่งยากจะแก้ไขได้ง่ายๆ ขณะนี้ก็เกิดวิกฤติหนี้สินส่วนบุคคลมหาศาลในหมู่ชาวกัมพูชาทั่วไป อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการส่งออก จากนโยบายภาษีของทรัมป์”
“ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนที่ถูกต้องตามกฎหมายจากจีนก็ ‘ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ’ ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจในกัมพูชาเหล่านี้ กำลังสะสมความไม่พอใจของประชาชน และอาจกลายเป็นความท้าทายทางการเมืองต่อผู้มีอำนาจในประเทศ” ลอฟลินทิ้งท้าย







