มาริษโชว์วิสัยทัศน์นิกเคอิฟอรัม ชู 5 ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเอเชีย

มาริษโชว์วิสัยทัศน์นิกเคอิฟอรัม ชู 5 ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเอเชีย

รัฐมนตรีต่างประเทศแสดงวิสัยทัศน์เวทีนิกเคอิ ฟอรัม ชี้การแข่งขันไม่จำเป็นต้องกีดกันความร่วมมือ เสนอ 5 ยุทธศาสตร์สำคัญสร้างความเติบโตให้ภูมิภาคเอเชีย

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงปาฐกถาในงาน นิกเคอิฟอรัม ครั้งที่ 30 ฟิวเจอร์ออฟเอเชีย ในหัวข้อ “Asia’s Challenge in a Turbulent World”  ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น 

รมว.ต่างประเทศกล่าวว่า ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่ผันผวนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดการดิสรัปอย่างสั่นสะเทือน ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในทุกด้าน การระบาดของโควิด-19 ทำให้ระบบสาธารณสุขเกินจะรับไหว  ห่วงโซ่อุปทานแตกแยก ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันในสังคม

“แต่เมื่อเราเริ่มฟื้นตัวกลับกลายเป็นว่า พายุลูกใหม่กลับบังเกิดขึ้น นั่นคือสงครามการค้า ความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์, การตัดขาดห่วงโซ่อุปทาน,  ลบล้างสิ่งที่เคยก้าวหน้า และบั่นทอนความเชื่อมั่นที่เป็นรากฐานของโลกมายาวนาน”   รมว.ต่างประเทศกล่าวพร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ในโลกปัจจุบันที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์สามารถกำหนดและส่งผลกระทบต่อตลาดได้ โลกไม่ใช่แค่เชื่อมโยงกันเท่านั้น แต่ยังพึ่งพากันอย่างลึกซึ้งอีกด้วย แม้ว่าบางคนอาจได้ประโยชน์ในระยะสั้นในยุคของ “การแตกแยกครั้งใหญ่” นี้ แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่กว้างและซับซ้อนกว่านั้น

“ความท้าทายเหล่านี้มีหลายแง่มุม ข้ามชาติ เชื่อมโยงกัน และเกินขีดความสามารถของประเทศใดประเทศหนึ่งที่จะเผชิญเพียงลำพัง เราต้องการความมุ่งมั่นใหม่ในการร่วมมือกัน

  • ภาษีคือเครื่องมือเพื่อข้อได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์

มาริษกล่าวต่อไปว่า ภาษีศุลการและมาตรการตอบโต้ได้กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์  ทำให้สินค้าราคาแพง ห่วงโซ่อุปทานปั่นป่วน และการค้าแตกแยก ไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ

อย่างไรก็ตามไม่ควรมีมาตรการตอบโต้กันไปมา เมื่อเร็วๆนี้ สงครามการค้าผ่อนคลายลงบ้าง ส่งผลให้ตลาดหุ้นและค่าเงินดีขึ้น แต่หากการเจรจาล้มเหลวความตึงเครียดจะกลับมาอีก

มาริษมองว่า ในโลกที่แตกแยกทุกวันนี้แนวคิดเรื่อง co-opetition  เป็นเรื่องสำคัญ กล่าวคือแม้ประเทศต่างๆ  แข่งขันกันหาตลาดสำหรับนวัตกรรม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกมีความท้าทายมากมายที่ต้องหาทางออกร่วมกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโรคระบาด ไปจนถึงความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานและมาตรฐานเทคโนโลยี ไม่มีประเทศใดยืนหยัดอยู่เพียงลำพังได้

“การแข่งขันทางยุทธศาสตร์ไม่จำเป็นต้องกีดกันความร่วมมือ ในทางกลับกัน ความร่วมมือเท่านั้นที่จะช่วยให้เราสร้างระเบียบระหว่างประเทศที่มีเสถียรภาพ ครอบคลุม และยั่งยืนยิ่งขึ้นได้” มาริษกล่าวและว่า เราควรใช้ความท้าทายนี้เป็นโอกาส เปลี่ยนภัยคุกคามเป็นความเป็นไปได้ โดยเสนอ 5 ยุทธศาสตร์สำคัญ ที่จะขับเคลื่อนให้เอเชียเติบโตและเจริญรุ่งเรืองต่อไป ได้แก่

1.การค้าการลงทุน ต้องกระชับการบูรณาการและยังคงยึดมั่นต่อการเป็นเขตเศรษฐกิจที่เสรีและเปิดกว้าง ในเรื่องนี้ ประเทศไทยมองเห็นศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในการขยายการใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และกรอบการค้าและการลงทุนอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็เจรจาข้อตกลงใหม่ๆ ด้วย RCEP ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของ GDP ทั่วโลก ยังคงเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังในการเติบโต

ไทยสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันการหารือเกี่ยวกับเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) ภายในเอเปค รวมถึงการสำรวจแนวทางที่เป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงความต้องการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของไทย

2.  ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและชาญฉลาด ไทยต้องสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นต่อแรงกระแทกและพร้อมสำหรับอนาคต ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศไทย (EEC) ถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ EEC เป็นโครงการริเริ่มการพัฒนาเรือธงของไทย ได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์กลางการผลิตขั้นสูง การขนส่ง และนวัตกรรมระดับแนวหน้าของภูมิภาค และเป็นประตูสู่ตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วของอาเซียน

3. การเปลี่ยนผ่านเป็นสีเขียวและการเติบโตอย่างยั่งยืน ประเทศไทยมุ่งมั่นเป็นผู้นำอาเซียนในฐานะศูนย์กลางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน มุ่งมั่นเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและบรรลุเป้าหมายเน็ตซีโรภายในปี 2065  โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดและนวัตกรรมการขนส่งของญี่ปุ่นเป็นแนวทาง

นอกจากนี้ ไทยยังกำลังสำรวจการลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์สะอาดและเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อกระจายความหลากหลายของพลังงาน เทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นสูงของญี่ปุ่นสามารถ

4. การเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลและการทำงานแห่งอนาคต ไทยตั้งเป้าเป็นฮับดิจิทัลชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบบนิเวศดิจิทัลของไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว  ได้แรงหนุนจากนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมสตาร์ตอัพและเอสเอ็มอีอย่างเต็มที่ ไทยกำลังร่างกฎหมายเอไอเพื่อให้มีการกำกับดูแลอย่างรับผิดชอบ ทั้งยังมีแผนปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (2022-2027)

ในเวลาเดียวกันไทยมีเป้าหมายใหญ่บ่มเพาะแรงงานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง รัฐบาลมีแผนปฏิบัติการอันครอบคลุมเพื่อพัฒนากำลังแรงงานในภาคส่วนไฮเทค เช่น 280,000 คนในห้าปีข้างหน้า

5. ประชาชนคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลง  ไทยเตรียมเร่งการใช้เอไอสำหรับประชาชนในหลายภาคส่วน โดยฝึกประชาชนอย่างน้อย 10 ล้านคนให้เป็นผู้ใช้เอไอ, 90,000 คน เป็นมืออาชีพด้านเอไอ และ 50,000 คน เป็นนักพัฒนาเอไอในสองปีข้างหน้า

ในช่วงท้ายนายมาริษได้กล่าวถึงอำนาจทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และอัตลักษณ์ของชาติที่มีพลังเปลี่ยนแปลงประเทศได้ ซึ่งประเทศไทยกำลังลงทุนในซอฟต์พาวเวอร์ ตั้งแต่อาหาร  แฟชั่น เทศกาล ไปจนถึง ภาพยนตร์ การออกแบบ และเนื้อหาดิจิทัล ผ่านโครงการ “หนึ่งตำบล หนึ่งซอฟต์พาวเวอร์” ด้วยมองว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์คือเครื่องยนต์อันทรงพลังสำหรับการเติบโตอย่างครอบคลุม มีนวัตกรรม และมีอิทธิพลไปทั่วโลก