HSBC ชี้ ‘โอกาสทองไทย’ อยู่ที่ตะวันออกกลาง ‘เฮลท์แคร์ไทย’ ครองใจชาวอาหรับ

HSBC ชี้ ‘โอกาสทองไทย’ อยู่ที่ตะวันออกกลาง ‘เฮลท์แคร์ไทย’ ครองใจชาวอาหรับ

ในความไม่แน่นอนของภาษีทรัมป์ ‘HSBC’ มองว่า นี่คือโอกาสทองที่เปิดประตูสู่การค้าครั้งใหม่ระหว่างเอเชียและตะวันออกกลาง โดยไทยจะโดดเด่น ด้วยจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ศักยภาพอู่ข้าวอู่น้ำ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ก้าวหน้า

ท่ามกลางความปั่นป่วนจากมาตรการภาษีของสหรัฐ “HSBC” ธนาคารยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการลูกค้ากลุ่มธุรกิจ ได้เผยมุมมองภาคธุรกิจในการรับมือกับภาษีทรัมป์ว่า “Wait and See” คือสิ่งที่ลูกค้าสะท้อนออกมามากที่สุดในห้วงเวลาที่ไม่แน่นอนและอาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

ขณะเดียวกันก็มองไปยัง “โอกาสของไทย” ที่กำลังถูกกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐว่า อาจต้องมองไปยัง “ตะวันออกกลาง” ที่กำลังมาในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

“โจ มิยาเกะ” (Jo Miyake) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลางของ HSBC เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า ภาษีของสหรัฐที่ไม่แน่นอน ทำให้ลูกค้าของ HSBC ตัดสินใจรอดูทิศทางลมไปก่อนกับกลยุทธ์ Wait and See เพราะสองปัจจัยสำคัญ

“หากต้องเปลี่ยนซัพพลายเชนในวันนี้ พวกเขายังไม่รู้ว่าจะย้ายไปที่ไหน เพราะเครือข่ายการผลิตนั้นซับซ้อนและกว้างขวางมาก...ดังนั้น แม้คุณจะอยากปรับเปลี่ยน ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างไร เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็ได้รับผลกระทบในรูปแบบที่แตกต่างกัน” มิยาเกะกล่าวถึงปัจจัยแรกที่ลูกค้าธุรกิจเลือกที่จะยังไม่เปลี่ยนแปลง และรอดูสถานการณ์ไปก่อน

ในส่วนปัจจัยที่สองซึ่งส่งผลต่อลูกค้าคือ ต้นทุนของการเปลี่ยนแปลง “เพราะต้นทุนของการเปลี่ยนแปลงในซัพพลายเชนนั้นค่อนข้างสูงมาก”

“ดังนั้นคุณจึงต้องมั่นใจอย่างแท้จริงว่า จะย้ายซัพพลายเชนไปที่ไหน และทำไมถึงย้าย เพื่อให้แน่ใจว่านี่เป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ”

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร HSBC รายนี้เชื่อว่า ภาษีทรัมป์เป็นเพียง “เสียงรบกวน” ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะสามารถเจรจากันได้ ไม่น่ากังวลอย่างที่คิด และเปิดประตูโอกาสใหม่ขึ้น

HSBC ชี้ ‘โอกาสทองไทย’ อยู่ที่ตะวันออกกลาง ‘เฮลท์แคร์ไทย’ ครองใจชาวอาหรับ

- โจ มิยาเกะ ซีอีโอกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ประจำเอเชียและตะวันออกกลางของ HSBC -

โอกาสที่ตะวันออกกลาง

โอกาสที่มิยาเกะเห็น คือ การค้าขายระหว่าง “เอเชีย” กับ “ตะวันออกกลาง” ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอาหรับที่เข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลไทย ด้วยคุณภาพที่ดีและราคาก็ไม่แพงด้วย ยิ่งมีทริปเยือนตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยิ่งทำให้ “ภูมิภาคตะวันออกกลาง” นี้ โดดเด่นขึ้นมา

ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเป็นดาวรุ่งการท่องเที่ยวไทย จากประมาณ 1.5 แสนคนต่อปี ในปี 2019

ล่าสุดในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ของปี 2024 มีจำนวนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง 585,000 คน ส่วนใหญ่เป็นซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และคูเวต

ในจำนวนนี้มีกลุ่ม Health & Wellness สูงถึง 20% ส่วนใหญ่เข้ามารักษาในโรงพยาบาล ทำสปาเพื่อสุขภาพ และฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายในไทย

หากดูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย ถือว่ายังมีขนาดใหญ่มาก โดยมีรายได้รวม 901 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ตามข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

มิยาเกะเสริมว่า เนื่องจากชาวอาหรับชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย และต้องการความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งไทยก็เป็นอู่ข้าวอู่น้ำด้วย จึงเป็นโอกาสที่รัฐบาลของทั้งสองจะสามารถจับมือเป็น “หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ” และเสริมสร้างการเติบโตนี้ไปด้วยกัน

เทรนด์ความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากตะวันออกกลาง เห็นได้จากในปี 2024 นักลงทุนจากตะวันออกกลางได้ลงทุนในไทยรวมทั้งสิ้น 119 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้ 103 ล้านดอลลาร์เป็นการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบัน ยอดการลงทุนของตะวันออกกลางในไทยอยู่ที่ 911 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก CEIC

ไทยปรับตัวเร็วด้านดิจิทัลเร็ว

เมื่อกรุงเทพธุรกิจสอบถามถึง “จุดแข็ง-จุดอ่อนของไทย” ในมุมมองของ “จอร์โจ กัมบา” (Giorgio Gamba) ซีอีโอและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ แห่งธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทยเผยว่า ไม่จำเป็นต้องโฟกัสที่จุดอ่อน สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเน้นไปที่ “จุดแข็ง”

HSBC ชี้ ‘โอกาสทองไทย’ อยู่ที่ตะวันออกกลาง ‘เฮลท์แคร์ไทย’ ครองใจชาวอาหรับ - จอร์โจ กัมบา ซีอีโอกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย -

กัมบามองว่า ไทยมีความโดดเด่นด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพียบพร้อม มีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแพร่หลาย เช่น การโอนเงินที่สะดวกรวดเร็วด้วย QR Code และพร้อมเพย์ ไปจนถึงมีสัญญาณ 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศ นี่จึงทำให้เห็นการเติบโตของทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย

เห็นได้จากเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทต่างชาติด้านเทคโนโลยีอย่าง Google, AWS และ Microsoft กำลังจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และศูนย์ข้อมูลในไทย ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นอย่างสูงต่อตลาดนี้

ด้านมิยาเกะมองว่า ความมุ่งมั่นของไทยในการก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางด้านดาต้าเซนเตอร์” กำลังได้รับแรงผลักดันอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเติบโตของตลาด ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1,560 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้นเป็น 3,190 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการสนับสนุนของภาครัฐจากนโยบาย Thailand 4.0 และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ซึ่งช่วยดึงดูดนักลงทุนระดับโลกให้เข้ามา และนี่เป็นจุดที่ความต้องการและเงินลงทุนจากตะวันออกกลางหลั่งไหลเข้าสู่ไทย

จากพลังงานหมุนเวียนสู่ AI

นอกจากเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแล้ว “พลังงานหมุนเวียน” ยังเป็นอีกสิ่งที่ทั้งไทยและตะวันออกกลางสามารถร่วมมือกันได้ โดยมิยาเกะกล่าวว่า คุณจะเห็นการลงทุนจำนวนมากจากตะวันออกกลางเข้าสู่ไทย และอาเซียนในภาคพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากตะวันออกกลาง มีความมุ่งมั่นที่จะลดการพึ่งพาภาคน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ

ขณะเดียวกัน ตะวันออกกลางกำลังพัฒนาศักยภาพพลังงานหมุนเวียนในหลายด้าน ไม่ว่าพลังงานแสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีไฮโดรเจน โดยมีเป้าหมายที่จะเป็น “ผู้ส่งออกพลังงานสะอาด”

ในเดือนก.พ.ของปีนี้ บริษัท DataVolt ซึ่งตั้งอยู่ในซาอุดีอาระเบีย ประกาศแผนสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1.5 กิกะวัตต์ในพื้นที่อุตสาหกรรม Oxagon ของ NEOM โปรเจกต์เมืองอนาคตของซาอุดีอาระเบีย

ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้จะใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมดจากแหล่งพลังงานของ NEOM จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “โรงงาน AI ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” ซึ่งข้อตกลงระหว่าง DataVolt กับ NEOM คาดว่า จะมีการลงทุนเริ่มต้นที่มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ และเป็นที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินศูนย์ข้อมูลแห่งนี้ได้ภายในปี 2028

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา G42 บริษัทเทคโนโลยีของ UAE และบริษัทจากสหรัฐอย่าง OpenAI, Oracle, NVIDIA, SoftBank และ Cisco ได้ประกาศความร่วมมือในการสร้าง “Stargate UAE” ศูนย์ AI ใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐ ในขนาด 5 กิกะวัตต์ที่กรุงอาบูดาบีแห่ง UAE โดยศูนย์นี้จะใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ และพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นที่คาดว่า กำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์แรกจะเริ่มใช้งานได้ในปีหน้า

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มประเทศอาเซียนที่กำลังเติบโต รวมถึงไทย จึงกลายเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับตะวันออกกลาง ในการพัฒนาและแสวงหาช่องทางส่งออกพลังงานสะอาด

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเองก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูงไปยังตลาดอาหรับได้เช่นกัน