เคล็บลับการไปดูงานให้คุ้มค่าภาษีประชาชนมากยิ่งขึ้น | World Wide View

เคล็บลับการไปดูงานให้คุ้มค่าภาษีประชาชนมากยิ่งขึ้น | World Wide View

เผยเทคนิค 4P เคล็ดลับสร้างสรรค์ที่จะช่วยเตรียมตัวให้ผู้ไปดูงานได้ดูงานอย่างสนุกและ “ได้งาน” ขณะที่ประชาชนก็จะได้ประโยชน์จากการไปดูงานของหน่วยงานภาครัฐมากขึ้น

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ การไปดูงานต่างประเทศของหน่วยงานภาครัฐเป็นประเด็นที่ถูกสังคมจับตามองเป็นอย่างมากถึงความเหมาะสมและคุ้มค่า


มีการตั้งข้อสังเกตว่าไปดูงานหรือไปเที่ยวต่างประเทศกันแน่ จำเป็นต้องไปหรือไม่ และไปแล้วได้อะไร เพราะประชาชนไม่เห็นรายงานหรือผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมจากการไปดูงานนั้นๆ จนเป็นที่มาของข้อวิจารณ์ว่า "ไปดูงานทิพย์” โดยเฉพาะในประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่คณะไหนๆ ก็มักเลือกไปดูงานเหมือนๆ กัน 


ในมุมมองของฝ่ายต่างประเทศที่รับคณะ ก็มีข้อสังเกตคล้ายๆ ภาคประชาชนไทย เพราะมักไม่เคยได้รับทราบถึงผลการศึกษาของคณะก่อนๆ ที่มาดูงาน หรือแผนที่จะดำเนินการหลังการมาดูงาน
ทำให้ลังเลที่จะรับคณะเพิ่มเติม

ในฐานะผู้มีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศมาร่วม 25 ปี ขอยืนยันถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับต่างประเทศผ่านการศึกษาดูงาน โดยเฉพาะกับประเทศที่มีนวัตกรรมและแนวปฏิบัติที่ดี (best practices) เพราะนั่นหมายถึงการที่ไทยจะร่นระยะเวลาการแก้ไขปัญหาหนึ่งๆ โดยไม่ต้องไปเสียเวลาหลายสิบปีเพื่อลองผิดลองถูก ทั้งนี้ หลายประเทศก็ใช้การดูงานเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดมาแล้ว 

โดยทั่วไป คณะจากไทยก็มีความตั้งใจดีในการนำสิ่งที่จะได้พบเห็นมาปรับใช้ ดังนั้น เพื่อให้การดูงานยังประโยชน์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการดูงานของหลักสูตรผู้บริหารที่หลายหน่วยงานภาครัฐจัดขึ้นและเชิญให้หน่วยงานภายนอกรวมถึงภาคเอกชนเข้าร่วมด้วย บทความนี้ จึงขอเสนอ 4 เคล็ดลับสร้างสรรค์ที่จะช่วยเตรียมตัวให้ผู้ไปดูงานได้ดูงานอย่างสนุกและ “ได้งาน” มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันประชาชนก็จะรู้สึกได้ประโยชน์จริงๆ จากการไปดูงานของหน่วยงานภาครัฐ และอาจเปลี่ยนทัศนคติจากต่อต้านมาเป็นสนับสนุน

ขอเรียกเคล็ดลับดังกล่าวว่า เทคนิค 4P

พีแรก P Pain Point หรือ “จุดที่เป็นปัญหา” รวมถึงบริบทและอุปสรรคที่ผ่านมาที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นๆ ได้สำเร็จ กล่าวคือ ก่อนจะกำหนดประเทศและสถานที่ที่จะไปดูงาน ต้องกำหนด Pain Point ที่ชัดเจนให้ได้ก่อน (ไม่ใช่กำหนดประเทศที่อยากไปก่อน แล้วค่อยดูว่าจะไปดูงานเรื่องอะไรที่ประเทศนั้นดี) มิเช่นนั้นแล้ว การไปดูงานก็จะหมือนการไปฟังเพื่อ “ประดับความรู้” เพราะไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด เช่น หากในท้องถิ่นมี Pain Point เร่งด่วนเรื่องการบริหารจัดการขยะชุมชน การที่ อบต. จะเลือกไปเรียนรู้ที่ญี่ปุ่นซึ่งมีระบบบริหารจัดการขยะที่ดี เพื่อนำไปปรับใช้กับปัญหาของตนเอง ก็ถือเป็นการมาดูงานที่เหมาะสม  โดยประเด็นว่า ควรไปดูงานที่ไหนและต้องหารือกับหน่วยงานใดของต่างประเทศ สามารถปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ผ่านกระทรวงการต่างประเทศก่อนได้

พีที่สอง P Plan หรือ แผนงานที่จะไปทำต่อ กล่าวคือ เมื่อกำหนด Pain Point ได้แล้ว ก็ควรวางแผนต่อไปด้วยว่า เมื่อได้ไปศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีในเรื่องนั้นแล้ว กลับมาจะทำอะไรต่อ ที่ไหน และอย่างไร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ภายใน 3 เดือน 6 เดือนหลังดูงาน ประชาชนจะได้เห็นอะไรบ้าง นอกจากนี้ เมื่อได้ไปดูงานที่หน่วยงานนั้นๆ แล้ว ถ้ามีความเห็นร่วมกัน ก็สามารถสานต่อโดยชักชวนเขามาร่วมกับฝ่ายไทยแก้ไขปัญหานั้นๆ ด้วยกันเลย

พีที่สาม P Project หรือ โครงการรูปธรรมที่จะทำ โดยถ้าเป็นการไปดูงานของหลักสูตรผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ก็มักมี “งานกลุ่ม” ที่ต้องทำร่วมกันอยู่แล้ว ก็ขอให้เป็น Group Project หรือโครงการของกลุ่มเลย เพื่อให้มีผลงานที่ประชาชนจะจับต้องได้ว่า การไปดูงานของคณะนั้นๆ ช่วยแก้ปัญหาอะไรในชีวิตประจำวันของพวกเขา เช่น หากเห็นปัญหารถไม่หยุดให้คนข้ามถนนเช่นกรณีคุณหมอกระต่าย หรือปัญหารถแท็กซี่จอดแช่หน้าเซ็นทรัลเวิร์ด หรือปัญหาสุนัขจรจัดและโรคพิษสุนัขบ้า เป็น Pain Point เร่งด่วนที่ต้องการแก้ ก็ควรทำโปรเจคแก้ปัญหานั้นๆ แบบเฉพาะเจาะจง เพื่อเลือกไปดูงานประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานั้นๆ และเมื่อกลับจากดูงานแล้ว ก็ลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง เมื่อทำเสร็จแล้ว อาจเอาป้ายไปติดเลยก็ได้ว่า “เป็นผลงานของหลักสูตรการศึกษา...รุ่นที่...” 

พีสุดท้าย P Phase II หรือการไปดูงานเป็นเฟสๆ เพื่อแก้ปัญหาว่า หน่วยงานภาครัฐของไทยไม่ว่าจะมาจากหน่วยงานใด มักไปดูงานในเรื่องเดียวกัน ในที่เดิมๆ (เพราะไม่ได้กำหนด 3P ข้างต้นมาก่อน) จนฝ่ายผู้รับก็งงว่า เพิ่งจัดการดูงานให้ฝ่ายไทยไปหยกๆ ทำไมยังมีคณะมาดูซ้ำอีกในเวลาติดๆ กัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ทุกคณะดูงานจะมาเหยียบแค่ “บันไดขั้นที่หนึ่ง” แล้วกลับไป พอคณะใหม่มาก็มาเหยียบบันไดขั้นที่หนึ่งเหมือนเดิม วนลูปกันไป ดังนั้น จึงขอเสนอให้วางแผนการดูงานเป็นเฟสๆ คือ ให้ก้าวจากบันไดขั้นที่หนึ่ง ไปขั้นที่สอง ขั้นที่สาม จนไปถึง “จุดหมาย” (แก้ Pain Point ได้ตามแผน) 

ถ้าผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐใช้เกณฑ์ 4P ข้างต้นในการ “อนุมัติ” การดูงาน ประชาชนก็จะได้เห็นโครงการดีๆ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาของพวกเขา และรู้สึกว่าคุ้มค่ากับภาษีทุกบาทที่เสียไป 


และจะยิ่งดีกว่านั้น หากมีการทำเว็บไซต์ที่บรรจุทั้งข้อมูลการไปดูงานและรายงานผลหรือโครงการที่เป็นรูปธรรมของคณะต่างๆ เพราะหน่วยงานภาครัฐเองก็จะได้ไม่ไปดูงานซ้ำกันหรืออย่างน้อย ก็ไม่ไปดูงานเฉพาะ “เฟสที่หนึ่ง” เหมือนเดิม ขณะเดียวกัน ประชาชนก็สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวตรวจสอบและเรียนรู้ผลการไปดูงานของภาครัฐได้ด้วย

แค่คิดก็น่าอิจฉาก้าวต่อไปของประเทศไทยแล้ว!