หุ้น ‘CATL’ พุ่ง 17% เทรดวันแรกตลาดฮ่องกง เล็งยุโรปเป็นฐานทัพใหม่ EV

หุ้นของ ‘CATL’ ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่สุดของโลก สร้างความฮือฮาในตลาดฮ่องกงด้วยราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นเกือบ 17% ในวันแรกที่เปิดซื้อขาย สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า หุ้นของ Contemporary Amperex Technology Co., Limited หรือ CATL บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดของโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 17% ใน “วันเปิดเทรดครั้งแรก” ที่ฮ่องกง โดยนักลงทุนมองว่า บริษัทมีศักยภาพที่จะเติบโตไปพร้อมกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังบูม
ราคาหุ้นล่าสุดปรับขึ้นมาอยู่ที่ 305 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เทียบกับราคาขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ที่ 263 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น
CATL ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO ได้ 35,700 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ตามเอกสารของบริษัท ซึ่งถือเป็นการเข้าตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกประจำปี 2025 และหุ้น CATL ที่เปิดตลาดในเชิงลบบนตลาดหุ้นเซินเจิ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ ได้พลิกกลับมาขึ้น 1.5% สู่ระดับ 264 หยวน
“ผมคิดว่าในขณะที่หุ้น H (ฮ่องกง) ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง จะช่วยดึงหุ้น A (จีนแผ่นดินใหญ่) ให้ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย” นีล เบเวอริจ นักวิเคราะห์อาวุโสของ Bernstein ที่ปรึกษาทางการเงินกล่าว
CATL ระบุในเอกสารที่ยื่นตลาดหุ้นฮ่องกงว่า เงินทุน 90% จากที่ระดมได้จะถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในฮังการี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบแบตเตอรี่ให้กับลูกค้าภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรป อาทิ Stellantis, BMW และ Volkswagen
“ยุโรปเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ CATL” เบเวอริจกล่าว พร้อมเสริมว่าการเติบโตของบริษัทในจีนจะชะลอลงในปีข้างหน้า เนื่องจากยอดขายในจีนได้เข้าไปถึงระดับสูงแล้ว “ขณะนี้ยอดขายในยุโรปอยู่ที่ประมาณ 20-25% เท่านั้น ดังนั้นยังมีโอกาสเติบโตอีกมากในตลาดนี้” เขากล่าวเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม บริษัทตกเป็นเป้าหมายของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนเมื่อต้นปีนี้ โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้นำชื่อบริษัท CATL ขึ้นบัญชีเฝ้าระวังในเดือนมกราคม เนื่องจากสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน ขณะที่ทาง CATL ปฏิเสธอย่างชัดเจน
ในเดือนมีนาคม CATL รายงานรายได้ประจำปี 2024 ลดลง 9.7% เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีน แต่กำไรสุทธิของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
อ้างอิง: cnbc






