'เบสเซนต์' ชี้ 'มูดี้ส์' แค่ตัวชี้วัดล้าหลัง ไม่หวั่นปรับลดความน่าเชื่อถือ

'เบสเซนต์' ชี้ 'มูดี้ส์' แค่ตัวชี้วัดล้าหลัง ไม่หวั่นปรับลดความน่าเชื่อถือ

"เบสเซนต์" ชี้ "มูดี้ส์" เป็นเพียงตัวชี้วัดล้าหลัง ไม่หวั่นการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ยืนยันมุ่งลดรายจ่ายภาครัฐ เผย "วอลมาร์ท" จะรับภาระภาษีนำเข้าบางส่วน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า "สก็อตต์ เบสเซนต์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ แสดงท่าทีไม่วิตกกังวลต่อหนี้สาธารณะและผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากการเก็บภาษีนำเข้ากับบริษัทต่างๆ รวมถึงวอลมาร์ท โดยเบสเซนต์เรียก “มูดี้ส์” ว่าเป็นเพียง "ตัวชี้วัดล้าหลัง" หลังจากที่สถานบันฯ มีการปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐลง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลทรัมป์มุ่งมั่นที่จะลดค่าใช้จ่ายรัฐบาลกลางและส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจ

ในการให้สัมภาษณ์กับรายการ "Meet the Press with Kristen Welker" ทางสถานีโทรทัศน์ NBC เมื่อวันอาทิตย์ เบสเซนต์กล่าวถึงการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศโดยมูดี้ส์ เรตติ้งส์เมื่อวันศุกร์ว่า

"มูดี้ส์เป็นเพียงตัวชี้วัดที่ล้าหลัง ซึ่งเป็นความเห็นทั่วไปที่มีต่อบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งหลาย พวกเขามักประเมินสถานการณ์หลังจากที่ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว"

"เราไม่ได้มาถึงจุดนี้ในช่วง 100 วันที่ผ่านมา แต่เป็นผลจากการบริหารงานของไบเดนและการใช้จ่ายมหาศาลในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาที่เราได้รับเป็นมรดกตกทอด"เขากล่าว พร้อมเสริมว่า "เรามุ่งมั่นที่จะลดการใช้จ่ายและเติบโตทางเศรษฐกิจ"

เบสเซนต์เปิดเผยว่าเขาได้พูดคุยกับ "ดั๊ก แมคมิลลอน" ซีอีโอของวอลมาร์ทเมื่อวันเสาร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับสัญญาณล่าสุดที่ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของโลกจะขึ้นราคาสินค้าเนื่องจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่าวอลมาร์ทควรเลิกอ้างว่าต้องขึ้นราคาเพราะภาษีนำเข้า และควร "รับภาระภาษีเอง" แทนที่จะผลักภาระให้ผู้บริโภค

"วอลมาร์ทจะยอมรับภาระค่าใช้จ่ายจากภาษีนำเข้าบางส่วน เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงปี 2018-2020" เบสเซนต์กล่าว พร้อมเสริมว่า "ภาพรวมตอนนี้ เรากำลังเห็นเงินเฟ้อในภาคบริการลดลง และเงินเฟ้อโดยรวมลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปี"

รมว.คลังยืนยันว่าเขาไม่ได้กดดันวอลมาร์ท "ดั๊กกับผมมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ผมจึงอยากได้ยินจากเขาโดยตรงมากกว่าจากสื่อมวลชน" เขากล่าวเสริมว่า "ทั้งหมดนี้มาจากการประชุมรายงานผลประกอบการ ซึ่งในการประชุมดังกล่าว คุณต้องให้ข้อมูลสถานการณ์ที่แย่ที่สุด"

เบสเซนต์ยังกล่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ "ไม่ได้บอกว่าภาษีนำเข้าจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ พวกเขาบอกว่าไม่แน่ใจและกำลังอยู่ในโหมดรอดูสถานการณ์"

หลังจากประกาศสงบศึกภาษีกับจีนเกือบหนึ่งสัปดาห์ เบสเซนต์กล่าวว่า "เรามีกลไกที่พร้อมสำหรับการเจรจาต่อไป" แต่สำหรับประเทศอื่นๆ อาจมีการเรียกเก็บภาษีฝ่ายเดียว โดยอธิบายเพิ่มเติมจากคำกล่าวของทรัมป์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯระบุว่าประเทศที่ไม่เข้าร่วมการเจรจาทางการค้าอย่างสุจริตจะได้รับจดหมายแจ้งอัตราภาษีศุลกากรที่รัฐบาลกำหนดไว้แล้ว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันที โดยเป็นอัตราเดียวกับที่ทำเนียบขาวประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568

อ้างอิง: Bloomberg