'นิสสัน' ยุบโรงงาน 7 แห่งรวม 'ไทย' เลย์ออฟ 20,000 เซ่นขาดทุนหนัก

'นิสสัน' ยุบโรงงาน 7 แห่งทั่วโลก เลิกจ้างพนักงาน 20,000 คนทั่วโลก ตามกลยุทธ์ปรับโครงสร้างพลิกฟื้นบริษัทของซีอีโอคนใหม่ หลังขาดทุนมหาศาล 1.5 แสนล้านบาท
นิกเคอิเอเชียรายงานว่า บริษัท "นิสสัน มอเตอร์" (Nissan Motor) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ในญี่ปุ่น เตรียมลดจำนวนโรงงาน 7 แห่งจากทั้งหมด 17 แห่ง ตามกลยุทธ์การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของ "อีวาน เอสปิโนซา" ประธานและซีอีโอคนใหม่ของบริษัท เพื่อพลิกฟื้นการขาดทุนมหาศาล
เอสปิโนซา ประธาน และซีอีโอของนิสสันชาวเม็กซิกันวัย 46 ปี กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคารว่า นิสสันจะ "รวมสายการผลิตโรงงานในประเทศไทย" และย้ายสายการผลิตในอาร์เจนตินาไปที่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าว และบริษัทเองกำลังดำเนินการประเมินทั่วโลกซึ่งรวมถึง "ญี่ปุ่น" ด้วย
แผนการปรับโครงสร้างยังรวมถึงการ "เลิกจ้าง" พนักงานทั่วโลก 20,000 คน หรือ 15% ของพนักงานทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากแผนที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน
การเลิกจ้างดังกล่าวเทียบได้กับแผนฟื้นฟูใหญ่ของนิสสันในปี 2542 ซึ่งครั้งนั้นเป็นการเลิกจ้างพนักงานมากถึง 21,000 คน และต้องปิดโรงงานในประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่ประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอย่างหนัก
เซ่นพิษขาดทุนหนักสุดในรอบ 25 ปี
การประกาศครั้งนี้มีขึ้นในวันเดียวกับการรายงานผลประกอบการปีงบประมาณ 2567 (สิ้นสุดเดือนมี.ค.2568) ซึ่งนิสสันเผชิญการขาดทุนสุทธิ "สูงที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยมีมา" ด้วยตัวเลข 6.7 แสนล้านเยน (ราว 1.5 แสนล้านบาท) แต่ก็ยังน้อยกว่าที่บริษัทเคยคาดการณ์เอาไว้เมื่อปลายเดือนเม.ย. ว่าอาจจะขาดทุนสุทธิ 7-7.5 แสนล้านเยน
หากเทียบ "วิกฤติ" ตลอดหลายครั้งที่ผ่านมาของนิสสันจะพบว่า นี่คือการขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 25 ปีของบริษัท เป็นรองเพียงปีงบประมาณ 2542 (1999) ซึ่งในครั้งนั้นบริษัทขาดทุนไป 6.71 แสนล้านเยน
ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 6.98 หมื่นล้านเยน ซึ่งลดลง 88% จากปีงบประมาณก่อนหน้า และบริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลใดๆ เช่นเดียวกับปีที่แล้ว
ตัวเลขนี้นับว่าลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีงบ 2566 ซึ่งบริษัทมีกำไรสุทธิ 4.26 แสนล้านเยน โดยเป็นผลจากยอดขายที่ซบเซาในตลาดหลักของบริษัทรวมถึงสหรัฐ และจีน และยังมาจากรายการด้อยค่าที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบสินทรัพย์ของบริษัทในอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น
มุ่งพลิกฟื้นภายใต้ CEO คนใหม่
"ผลประกอบการทางการเงินทั้งปีของเราถือเป็นการเตือนสติ ... ความจริงนั้นชัดเจน เรามีโครงสร้างต้นทุนที่สูงมาก" เอสปิโนซา กล่าวและเสริมว่า ปีงบประมาณปัจจุบันคือ "ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน" สำหรับนิสสัน
อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้ให้คาดการณ์สำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน "เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมภาษีศุลกากร แนวทางสำหรับกำไรจากการดำเนินงาน กำไรสุทธิ และกระแสเงินสดอิสระสำหรับปีงบปัจจุบัน จึงยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจนในขณะนี้" บริษัทระบุในแถลงการณ์
นิสสันกำลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ตั้งแต่การลดจำนวนพนักงานทั่วโลก การปิดโรงงาน และการยกเลิกแผนการลงทุน
ค่ายรถยนต์เบอร์ 3 ในญี่ปุ่นรายนี้กล่าวว่า กำลังมองหา "โอกาสเพิ่มเติมในการลดต้นทุนคงที่" และตั้งเป้าที่จะลดต้นทุน 5 แสนล้านเยน ภายในปีงบประมาณสิ้นสุดในเดือนมี.ค.2570 ซึ่งรวมถึงการรวมสายการผลิตโรงงานด้วย
"โครงสร้างต้นทุนคงที่ของเรา เป็นสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถแบกรับไหวด้วยรายได้ในปัจจุบัน" เอสปิโนซา กล่าว โดยบริษัทจะมุ่งลดความซับซ้อนของชิ้นส่วนยานยนต์ และจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานใหม่ รวมถึงพิจารณาการ "ส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในจีนไปยังประเทศอื่นๆ"
นิสสันยังเผชิญกับอุปสรรคจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ที่เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ 25% ทำให้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อนิสสัน เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท ทำให้ราคาหุ้นของนิสสันลดลงมากกว่า 20% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งลดลงอย่างรวดเร็วกว่าคู่แข่งมาก
เป็นที่คาดว่าผลกระทบด้านลบจากนโยบายภาษีของสหรัฐจะอยู่ที่ประมาณ 4.5 แสนล้านเยน ในปีงบประมาณปัจจุบัน จากรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่น และเม็กซิโก บริษัทมีแผนที่จะบรรเทาผลกระทบโดยใช้ฐานการผลิตในสหรัฐ และส่งเสริมการขายรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐให้มากขึ้น
เอสปิโนซา ซึ่งเข้ารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของนิสสันเมื่อเดือนที่แล้ว จะมุ่งเน้นไปที่การเจรจาความร่วมมือ ซึ่งรวมถึงกับบริษัทนอกอุตสาหกรรมรถยนต์ แม้ว่านักลงทุนจะคาดหวังให้นิสสันควบรวมกิจการกับ "ฮอนด้า มอเตอร์" (Honda Motor) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมชาติ แต่บริษัท และอดีตประธาน มาโกโตะ อุชิดะ ได้ยุติการเจรจาการควบรวมกิจการในเดือนก.พ. ที่ผ่านมา
ซีอีโอคนใหม่วัย 46 ปี กล่าวในการประชุมโต๊ะกลมกับสื่อครั้งก่อนว่า "ไม่ได้มีข้อห้าม" ในการจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทอื่นๆ เนื่องจากต้นทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะและรถยนต์ไฟฟ้าแพงขึ้น
ในขณะที่ จุน เซกิ อดีตผู้บริหารของนิสสัน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์รถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท "ฟ็อกซ์คอนน์" (Foxconn) ในไต้หวัน ก็หวังที่จะสร้างความร่วมมือกับนิสสันเช่นกัน
ทางเด้าน "โทชิฮิโระ มิเบะ" ประธานและซีอีโอของฮอนด้า กล่าวในการแถลงข่าวออนไลน์เมื่อวันอังคารว่า การเจรจาใดๆ กับนิสสันเกี่ยวกับการควบรวมกิจการนั้น "ถูกรีเซ็ตเป็นศูนย์ และไม่มีความคืบหน้าใดๆ ตั้งแต่นั้นมา" อย่างไรก็ตาม มิเบะกล่าวว่าทั้งสองบริษัท รวมถึง "มิตซูบิชิ มอเตอร์ส" ซึ่งเป็นพันธมิตรของนิสสัน ยังคงพิจารณาที่จะร่วมมือกันเป็นพันธมิตรในเชิงธุรกิจภายใต้ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ลงนามกันตั้งแต่เดือนส.ค. ปีที่แล้ว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







