บิ๊กแบงก์แห่เพิ่มเป้า GDP จีน หลัง ‘สหรัฐ-จีน’ ลดภาษีนำเข้า 90 วัน

บิ๊กแบงก์แห่เพิ่มเป้า GDP จีน  หลัง ‘สหรัฐ-จีน’ ลดภาษีนำเข้า 90 วัน

บิ๊กแบงก์แห่เพิ่มเป้าการเติบโต GDP จีน และปรับมุมมองตลาดหุ้นเป็น Overweight หลัง ‘สหรัฐ-จีน’ เจรจาทางการค้าพักรบชั่วคราวนาน 90 วัน

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า บรรดาสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งกำลังอยู่ระหว่างการทบทวนและปรับมุมมองที่มีต่อ “ประเทศจีน” ใหม่อีกครั้ง หลังจากผลการเจรจาทางการค้าระหว่างรัฐบาลสหรัฐและจีนเป็นไปในทิศทางเชิงบวก  ส่งผลให้มีการปรับเพิ่มทั้งการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจจีน และแนวโน้มของตลาดหุ้นจีนให้สูงขึ้นตามไปด้วย

วานนี้ (12 พ.ค.) สหรัฐและจีนได้บรรลุข้อตกลงสำคัญที่จะระงับการขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของแต่ละฝ่ายเป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยสหรัฐปรับลดภาษีนำเข้าให้แก่จีนเหลือ 30 % จากเดิม 145 % ขณะที่จีนลดภาษีให้กับสินค้าอเมริกันที่อัตรา 10 % จากเดิม 125 %

บิ๊กแบงก์แห่เพิ่มเป้า GDP จีน

ธนาคารยูบีเอส (UBS) ได้ระบุในบทวิเคราะห์ว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของจีน (GDPจีน) ในปี  2568  อาจปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.7-4% ได้ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ในกรณีฐานที่ 3.4% เนื่องจากการผ่อนคลายความตึงเครียดจากสงครามการค้า อาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน "ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" หรือน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้มาก

ขณะที่ธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ก็ได้ปรับเพิ่มประมาณการตัวเลขจีดีพีรายไตรมาสในระยะสั้นของจีนขึ้นเช่นกัน เนื่องจากบรรดาบริษัทต่างๆ อาจพยายามเร่งการส่งออกสินค้าของตนเพื่อฉวยโอกาสจากอัตราภาษีศุลกากรที่ปรับลดลงเป็นการชั่วคราวนี้

นักวิเคราะห์คาดว่า GDP ในไตรมาสที่ 2 ของจีนอาจสูงกว่าประมาณการปัจจุบันที่ 4.5% และคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 3 จะฟื้นตัวสูงกว่า 4% 

ด้านธนาคารออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป (ANZ)   คาดการณ์ว่า GDP ของจีนจะสูงกว่า 4.2% ในปีนี้   ส่วนธนาคารนาติซิส (Natixis) คาดการณ์ว่า GDP ของประเทศจะเติบโต 4.5% ในปีนี้

โยกเงินทุนเข้า ‘หุ้นจีน’

มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เพิ่มมากขึ้นนี้ อาจส่งผลให้แนวโน้มของตลาดหุ้นจีนปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย

บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ (Nomura) ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนขึ้นเป็นระดับ "Overweight“ (Strategic Overweight) และได้โยกย้ายเงินทุนบางส่วนออกจากสถานะการลงทุนในประเทศอินเดียมายังประเทศจีนแทน ตามที่บริษัทระบุในบทวิเคราะห์ที่ออกมาภายหลังการเจรจาการค้า 

ทางด้านธนาคารซิตี้ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ของฮ่องกงขึ้นอีก 2% สู่ระดับ 25,000 จุดภายในสิ้นปีนี้  และคาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 26,000 จุดได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนได้ออกมาเตือนว่า นักลงทุนไม่ควรตื่นเต้นหรือคล้อยตามแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนมากจนเกินไป เพราะการดีดตัวขึ้นครั้งนี้อาจเป็นเพียง "การดีดตัวทางเทคนิคหรือเชิงกลยุทธ์" ในระยะสั้นเท่านั้น

แม้ผลการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐ  และจีนจะออกมาดีเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ข้อตกลงที่ทำได้นั้นยังคงเป็นเพียงข้อตกลง "ชั่วคราว" และยังสามารถมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมได้อีกในอนาคต ดังนั้นปัจจัยนี้จึงยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงภาพรวมทั้งหมดของเศรษฐกิจจีน ตลาดหุ้นจีนยังคงต้องพึ่งพาปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความอ่อนแออยู่

“สิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนภาพรวมทั้งหมด ตลาดหุ้นจีนยังคงพึ่งพาปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศซึ่งยังคงอ่อนแอ" แดน หว่อง จาก ยูเรเซีย กรุ๊ป  กล่าว