'ธนินท์' แนะทุกฝ่ายใช้วิกฤติการค้าเป็นโอกาส สร้างความร่วมมือภูมิภาค

เจ้าสัวธนินท์เสนอแนวคิดเสริมเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก ผ่านความร่วมมือระดับภูมิภาค พร้อมแนะ
ญี่ปุ่ นใช้โอกาสจากตลาดอาเซียน และย้ำว่าเครือซีพีได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางการค้า
น้อย ด้วยกลยุทธ์ผลิตและจำหน่ายในประเทศ
เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียรายงานว่า นาย “ธนินท์ เจียรวนนท์” มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของไทย และประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เตือนว่า สหรัฐมีแนวโน้มเสี่ยงต่อการ “สูญเสียความเป็นผู้นำระดับโลก” หากประเทศต่างๆ ลดการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลง
นายธนินท์ วัย 86 ปี ให้สัมภาษณ์กับนิกเคอิ เอเชียที่กรุงโตเกียวเมื่อวันศุกร์ที่ 9 พ.ค.68 ว่า สงครามการค้ามีผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหารของเขา “น้อยมาก” เนื่องจากบริษัทใช้กลยุทธ์การผลิต และจำหน่ายภายในประเทศเป็นหลัก ขณะที่เครื่องจักรในการผลิตประมาณ 80% นำเข้าจากญี่ปุ่น
นายธนินท์กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของบางประเทศในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะนโยบายที่ให้ความส าคัญกับผลประโยชน์ในประเทศ อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการค้าเสรีที่เคยดำเนินมาอย่างต่อเนื่องภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ
“นโยบายภาษีนำเข้าที่ดำเนินอย่างเร่งเร้าและขาดความต่อเนื่อง อาจสร้างแรงกระเพื่อมต่อระบบการค้าโลก แม้อาจให้ผลในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจนำมาซึ่งผลกระทบต่อประเทศผู้นำนโยบายเอง”
แม้หนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐ จะพุ่งทะลุ 30 ล้านล้านดอลลาร์ นายธนินท์ในวัยกว่า 80 ปีกล่าวว่า สหรัฐก็ควรเดินหน้านำเศรษฐกิจโลกต่อไป เพราะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ยังคงเป็นเครื่องมือการลงทุนที่เชื่อถือได้ที่สุด”
“ความเปลี่ยนแปลงของนโยบายเศรษฐกิจในระดับโลกอาจมีผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนระหว่างประเทศ และชี้ว่าหากประเทศต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับการจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง อาจส่งผลต่อบทบาทของประเทศที่เคยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจโลก
‘พันธบัตรสหรัฐ’ ไม้ตายญี่ปุ่น
นายธนินท์กล่าวถึงสถานะของญี่ปุ่ นในฐานะหนึ่งในผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายสำคัญว่า มีบทบาทเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และชี้ว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจและการร่วมมือ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้าสำหรับ “ญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุด อาจใช้สถานะดังกล่าวเป็น “ไม้ตาย” ในการเจรจากับทรัมป์ ตามความเห็นของนายธนินท์
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการคาดการณ์จากตลาด รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นได้ออกมาชี้แจงเมื่อไม่นานนี้ว่า ญี่ปุ่นไม่มีเจตนาใช้การถือครองหนี้รัฐบาลสหรัฐ เป็นเครื่องต่อรองในการเจรจาการค้ากับทรัมป์แต่อย่างใด
ขณะที่ไทยเสี่ยงเผชิญกับภาษีทรัมป์ 36% หากไม่ได้รับการลดหย่อนจากสหรัฐ แต่ตามคำกล่าวของนายธนินท์ กลุ่ม CP ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย โดยบริษัทหลักอย่างเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) มีรายได้จากการขายในปี 2024 ถึง 63% มาจากการดำเนินงานในต่างประเทศ โดยเวียดนาม และจีนเป็นตลาดสำคัญ
“สินค้าของเราเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร” เขากล่าว “เราขายในประเทศที่เราผลิต”
ใช้อาเซียนเป็นมาร์เก็ตเพลส
นายธนินท์ กล่าวว่า ญี่ปุ่นควรมองประชาคมอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเป็น “ตลาด” ของตนเอง โดยสนับสนุนให้บริษัทเทรดดิ้งยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งยังคงเติบโตทั้งในด้านเศรษฐกิจและประชากร
แม้ญี่ปุ่นจะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับโลก ท่านธนินท์ยังตั้งข้อสังเกตว่า เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นอาจจำเป็นต้องปรับแนวทางให้มีความเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะในการตัดสินใจลงทุน การเปิดรับความเสี่ยงที่เหมาะสม และการขยายบทบาทสู่ตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
“การเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ย่อมมีความเสี่ยงอยู่เสมอ”
ในอีกด้านหนึ่ง นายธนินท์กล่าวว่า เขาสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเกษตรกรรมในญี่ปุ่น และกำลังมองหาความร่วมมือที่เป็นไปได้ โดยให้เหตุผลว่า ญี่ปุ่นมีพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง เขายังระบุว่า กลุ่มซีพีกำลังปรับตัวด้วยนวัตกรรมในทุกธุรกิจ “นี่คือยุคของนวัตกรรมและการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง” เขากล่าว “เรายืนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้”
ทั้งนี้ กลุ่มซีพีได้เสริมสร้างความสัมพันธ์กับ “อิโตชู” ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 บริษัทเทรดดิ้งยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2014 ผ่านการถือหุ้นไขว้ อย่างไรก็ตาม อิโตชู ประกาศในเดือนเมษายน ว่า จะขายหุ้นทั้งหมดในซีพีภายในสิ้นปีงบประมาณ 2026 ขณะที่ซีพีก็มีแผนที่จะขายหุ้นในอิโตชูเช่นกัน ทั้งสองบริษัทได้ระบุว่า พวกเขาจะยังคงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ต่อไป
ทั้งนี้ นายธนินท์ได้รับการจัดอันดับเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในไทยในปี 2025 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน 5.28 แสนล้านบาท
อ้างอิง: nikkei
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







