สหรัฐเก็บภาษีศุลกากรพุ่ง 130% เดือน เม.ย. ทำสถิติสูงสุดรอบทศวรรษ

สหรัฐเก็บภาษีศุลกากรเดือน เม.ย. ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 16,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 130% จากปีก่อน แม้รายได้จ่อลดลงหลังทำข้อตกลงกับอังกฤษและจีนได้
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า สหรัฐเก็บภาษีศุลกากรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน เม.ย. ช่วยจำกัดการขาดดุลงบประมาณ แต่การหาข้อตกลงการค้าอาจลดรายได้ในอนาคต โดยกระทรวงการคลังสหรัฐ เก็บรายได้จากภาษีศุลกากรได้ 16,000 ล้านดอลลาร์ (536,000 ล้านบาท) ในเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 9,000 ล้านดอลลาร์ (301,500 ล้านบาท) หรือ 130% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ตัวเลขนี้ถือเป็นการเก็บภาษีศุลกากรรายเดือนที่สูงที่สุดในรอบอย่างน้อย 10 ปี
เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังระบุว่า ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลจากการขึ้นภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศใช้ภาษี "ตอบโต้" กับหลายสิบประเทศ ก่อนจะระงับไว้ชั่วคราวหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ยกเว้นจีน พร้อมกับประกาศเก็บภาษีพื้นฐานใหม่ที่ 10%
ข้อมูลนี้เปิดเผยเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังสหรัฐบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับจีนในการยกเลิกภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยสกอตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลัง และเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ประกาศว่า ภาษีสินค้าจีนจะลดลงเหลือ 30% จากเดิม 145% นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังได้ลงนามข้อตกลงการค้ากับอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ รัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีการขาดดุล 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ (35.18 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ต้นทุนดอกเบี้ยหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นสำหรับโครงการต่างๆ เช่น เมดิแคร์และประกันสังคม ยังคงเป็นสาเหตุหลักของความต้องการเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น
นอกจากภาษีศุลกากรแล้ว รายได้อีกประเภทที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณนี้คือ ภาษีสรรพสามิต ซึ่งเพิ่มขึ้น 10,000 ล้านดอลลาร์ (335,000 ล้านบาท) ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มาจากภาษีใหม่สำหรับการซื้อหุ้นคืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจพลังงานหมุนเวียนปี 2022 ของรัฐบาลไบเดน ที่เรียกว่ากฎหมายลดเงินเฟ้อ