'ทรัมป์' เตรียมลงนาม 'ลดราคายา' ตามใบสั่งแพทย์ สูงถึง 80%

'ทรัมป์' เตรียมลงนาม 'ลดราคายา' ตามใบสั่งแพทย์ สูงถึง 80%

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ลดราคายาตามใบแพทย์สั่ง สู่ระดับเดียวกับราคายาของประเทศรายได้สูงอื่นๆ โดยจะลดราคายาราว 30-80%

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยในวันอาทิตย์ (11 พ.ค.) เตรียมลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อลดราคายาตามใบแพทย์สั่ง สู่ระดับเดียวกับราคายาของประเทศรายได้สูงอื่นๆ โดยทรัมป์จะลดราคายาดังกล่าวราว 30-80%

ทรัมป์ โพสต์ในทรูธโซเชียลว่า ตนจะลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในช่วงเช้าวันจันทร์ เพื่อกำหนดราคายาให้เทียบเท่ากับชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด (most favored nation) หรือกำหนดราคายาตาม “ราคาอ้างอิงในต่างประเทศ”

สหรัฐเป็นประเทศที่ใช้จ่ายเงินค่ายาตามใบสั่งแพทย์สูงที่สุดในโลก โดยมักแพงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เกือบ 3 เท่า

ทรัมป์บอกว่าตนต้องการปิดช่องว่างนี้ แต่ยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าจะดำเนินการอย่างไร และยังไม่เผยรายละเอียดใดๆ ผ่านโพสต์ดังกล่าว

“ผมจะปรับใช้นโยบายตามประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด โดยสหรัฐจะจ่ายในราคาเดียวกับประเทศที่จ่ายราคาต่ำที่สุดในโลก” ทรัมป์ระบุในโพสต์

ด้านกลุ่มล็อบบี้ในอุตสาหกรรมยา 4 รายที่เผยว่าได้รับข้อมูลสรุปจากทำเนียบขาวแล้ว บอกว่า ผู้ผลิตยาหวังให้มีคำสั่งที่เน้นไปที่โครงการประกันสุขภาพเมดิแคร์ ซึ่งเป็นนโยบายที่ก่อนหน้านี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าอยู่ระหว่างการพิจารณา

นอกจากนี้ ผู้ผลิตยาคาดว่าคำสั่งดังกล่าวจะกับยาประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากยาที่อยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กฎหมายลดเงินเฟ้อของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน

กฎหมายดังกล่าวทำให้เมดิแคร์ (Mediccare) ได้เจรจาราคายา 10 รายการ โดยราคาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า และจะมีการเจรจาราคายาอื่นๆ เพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้

อเล็กซ์ ชไรเวอร์ โฆษกของกลุ่มล็อบบี้บริษัทยาชั้นนำของสหรัฐ Pharmaceutical Research and Manufacturers of America แถลงว่า การกำหนดราคายาของรัฐบาลไม่ว่าในรูปแบบใดๆ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้ป่วยชาวอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์พยายามปรับราคายาให้เข้ากับราคาที่ประเทศอื่นจ่าย โดยในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ ศาลได้สั่งระงับข้อเสนอโครงการกำหนดราคาอ้างอิงระหว่างประเทศ

สำหรับข้อเสนอดังกล่าวเมื่อห้าปีก่อนนั้น รัฐบาลของทรัมป์คาดการณ์ว่าจะช่วยให้ผู้เสียภาษีประหยัดเงินได้มากกว่า 85,000 ล้านดอลลาร์เป็นเวลาเจ็ดปี และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยารายปีของสหรัฐกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์

 

อ้างอิง: Reuters