ทรัมป์ กำลังทำให้สหรัฐสูญเสีย ความได้เปรียบทางวิทยาศาสตร์

เมื่อวันที่ 28 เมษายนนักวิเคราะห์ของ CNN นาย Fareed Zakaria แสดงความเห็นที่น่าสนใจว่า นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังทำให้สหรัฐสูญเสียความได้เปรียบทางวิทยาศาสตร์
ผมขอนำมาสรุปให้อ่านกันในครั้งนี้ครับ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นั้น ถือได้ว่าสหรัฐเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ในด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมนั้น สหรัฐยังล้าหลังอังกฤษและยุโรปอย่างมาก (ในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้น บ่อยครั้งที่อังกฤษกล่าวหาอเมริกาว่า พยายามขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและละเมิดสิทธิบัตรของอังกฤษ)
เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ประเทศที่ได้รางวัลโนเบลมากที่สุดคือ ประเทศเยอรมนี ซึ่งกวาดรางวัลโนเบลไป 1/3 ของรางวัลทั้งหมด ตามด้วยอังกฤษที่ 20% ในขณะที่สหรัฐได้รางวัลโนเบลเพียง 6%
แต่ในกลางศตวรรษที่ 20 มี 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สหรัฐกลายมาเป็นประเทศที่ก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์มากที่สุด ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1.Adolf Hitler ผู้นำของเยอรมนีขับไล่นักวิทยาศาสตร์แนวหน้าของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยิวซึ่งมีจำนวนมากที่อพยพไปอยู่ที่อเมริกา (Fareed อ้างตัวเลขว่า จนกระทั่งถึงปี 2475 จากรางวัลโนเบลทางวิทยาศาสตร์ที่ประเทศเยอรมนีได้รับทั้งหมดนั้น ประมาณ 1/4 เป็นผลงานค้นคว้าวิจัยของชาวยิวในประเทศเยอรมนี
แม้ว่าชาวยิวจะมีสัดส่วนเพียง 1% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ) กล่าวคือนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมนีที่เป็นคนยิวจำนวนมาก ได้แปลงสัญชาติเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่สร้างความได้เปรียบทางวิทยาศาสตร์ให้กับสหรัฐ
ต่อมาสหรัฐก็ยังเป็นประเทศที่เปิดกว้าง ทำให้คนที่มีความรู้และความสามารถสูงสุดจากประเทศจีน อินเดียและอื่นๆ ต้องการไปแสวงหาโอกาส ไปทำงานและตั้งถิ่นฐาน
จนกระทั่งปัจจุบันที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีนโยบายที่ดูจะไม่ต้องการต้อนรับคนกลุ่มดังกล่าว ตรงกันข้าม รัฐบาลสหรัฐกำลังไล่จับและเนรเทศ คนต่างด้าวที่พยายามเข้ามาหาโอกาสทำมาหากินในประเทศสหรัฐอเมริกา
2.สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง ที่ทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับยุโรป แต่สหรัฐสามารถผงาดขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจ และสหรัฐก็ตอบรับสถานะดังกล่าวของตนโดยทุ่มเทงบประมาณไปสู่การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา
กล่าวคือการใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ของสหรัฐมีมูลค่าเกือบ 2.5% ของจีดีพีในช่วงทศวรรษ 1950 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จ่ายส่งเสริมการศึกษาและวิจัยในมหาวิทยาลัย
แต่ปัจจุบันประธานาธิบดีทรัมป์กับมีนโยบายที่ข่มขู่มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศให้อยู่ในอำนาจและการบงการของรัฐ จำกัด สิทธิเสรีภาพ ความหลากหลาย รวมถึงการสั่งตัดงบประมาณที่สนับสนุนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน ประเทศจีนได้เร่งรัดและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยี ทำให้ ณ วันนี้ประเทศจีนกำลังนำสหรัฐในตัวชี้วัดด้านนี้ เช่น จำนวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์ 82 ฉบับมาจากประเทศจีนมากกว่าสหรัฐอเมริกา
สำหรับการได้รับสิทธิบัตรปัจจุบันจีนก็รุดหน้าสหรัฐไปอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นจำนวนมหาวิทยาลัยของจีนที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำ 500 แห่งทั่วโลก ก็เพิ่มขึ้นจาก 27 แห่งในปี 2553 มาเป็น 76 แห่งในปี 2563
แต่ในช่วงเดียวกัน จำนวนมหาวิทยาลัยของสหรัฐในอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำ 500 แห่งดังกล่าว มีจำนวนลดลงจาก 154 แห่งเหลือ 133 แห่ง
3.การที่สหรัฐเคยเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะเปิดรับชาวต่างชาติ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เช่นในช่วงปี 2543-2557 คนต่างชาติที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐ (immigrant) มีสัดส่วนเพียง 14.3% ของประชากรสหรัฐทั้งหมด
แต่ปรากฏว่า มากกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนรางวัลโนเบลที่สหรัฐได้รับในช่วงดังกล่าวเกิดจากผลงานของผู้อพยพดังกล่าว นอกจากนั้นในปี 2562 พบว่าเกินกว่า 40% ของคนที่พัฒนาซอฟต์แวร์ของสหรัฐคือ คนต่างชาติ
ดังนั้น การที่ปัจจุบันประธานาธิบดีทรัมป์สั่งการให้จับตัวคนต่างชาติทั่วประเทศเพื่อเนรเทศออกไปจากสหรัฐ จึงได้ทำให้นักวิจัยของสหรัฐมากถึง 75% ที่ถูกสำรวจความเห็นโดยวารสาร Nature ตอบว่า กำลังพิจารณาว่าอาจต้องย้ายออกจากประเทศสหรัฐหรือไม่ (จำนวนนักวิจัยต่างด้าวที่ตอบคำถามรวมทั้งสิ้น 3,600 คน)
Fareed สรุปว่า “These…building blocks of America’s extraordinary strength, created over the last 100 years...are now being dismantled in 100 days”.
ผมได้แสวงหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันสถานะของสหรัฐในด้านนวัตกรรม โดยไปตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการขอสิทธิบัตรและการได้รับสิทธิบัตรขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization: WIPO)
ซึ่งตารางประกอบยืนยันให้เห็นว่า สหรัฐกำลังสูญเสียการเป็นผู้นำในด้านนี้ให้กับประเทศจีนตั้งแต่ประมาณปี 2553 เป็นต้นมา อย่างน้อยที่สุดก็ในเชิงปริมาณ ส่วนในเชิงของคุณภาพนั้น ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่







