ชาวสิงคโปร์ซื้อ ‘ทองคำ’ เพิ่มสูงสุดในรอบ 15 ปี กังวลโลกปั่นป่วน

ไตรมาสแรกของปีนี้ ชาวสิงคโปร์แห่ซื้อ ‘ทองคำ’ เพิ่มสูงสุดในรอบ 15 ปี หวังครอบครองสินทรัพย์ปลอดภัยที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก
ผู้ค้าทองคำในสิงคโปร์พบว่า ยอดขายทองคำแท่งและเหรียญทองคำเพิ่มขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้
ในไตรมาสแรกนี้ ชาวสิงคโปร์ซื้อทองคำไป 2.5 ตัน เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และถือเป็นยอดเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2553
แม้ราคาทองคำจะทะลุ 3,000 ดอลลาร์ (ราว 98,789 บาท) ในเดือนมี.ค. และพุ่งแตะ 3,500 ดอลลาร์ (ราว 115,254 บาท) ในเวลาไม่ถึงสองเดือนหลังจากนั้น แต่ดูเหมือนว่าผู้ซื้อจะไม่ย่อท้อ และยอดขายก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง
นักวิเคราะห์กล่าวว่า สาเหตุส่วนหนึ่งของการแห่ซื้อทองคำนั้นมาจากการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากขึ้นผลักดันให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย
เกรกอ เกรเกอร์เซน ผู้ก่อตั้ง The Reserve ห้องนิรภัยสำหรับจัดเก็บทองคำและเงินที่มีความจุสูงในชางงี เผยว่า ลูกค้าที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงมากบางรายกำลังเปลี่ยนมาซื้อทองคำแท่ง
“พวกเขาซื้อทองคำมูลค่า 60 ถึง 70 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ลูกค้า (บางราย) ซื้อเพราะต้องการทองคำที่เป็นรูปธรรม พวกเขาอาจมีทองคำที่เป็นสัญญาไว้ในครองจำนวนมากอยู่แล้ว และพวกเขาก็เริ่มกังวลมากขึ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เกรเกอร์เซนกล่าว และว่า“พวกเขาบอกว่า อยากซื้อทองคำแท่งมากกว่า เก็บไว้ในที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงของตัวเอง"
ด้านเชาไค ฟาน หัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางและเอเชียแปซิฟิกจากสภาทองคำโลก กล่าวว่า ทองคำได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความยืดหยุ่นในช่วงเวลาที่ไม่มั่นคง และบอกว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องค่อนข้างสูง จึงคาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ลงทุนจำนวนมากยังคงลงทุนในทองคำ แม้ราคาจะค่อนข้างสูงก็ตาม
ฟานเสริมอีกว่า ในทางตรงข้ามผู้คนมีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิมมากขึ้น เช่น เงินดอลลาร์ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
“เมื่อคุณไม่มีสินทรัพย์ปลอดภัยเหล่านี้ คุณก็จะเหลือสินทรัพย์อื่นๆ อีกไม่กี่อย่าง (เช่น) พันธบัตรรัฐบาลและทองคำ นักลงทุนจำนวนมากหันมาลงทุนทองคำเพื่อเตรียมรับมือกับโลกที่ไม่แน่นอน” ฟานกล่าว
อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ทองคำไม่ได้ถูกเลือกซื้อไปทุกอย่าง
แชนแนลนิวส์เอเชียรายงานว่าความต้องการเครื่องประดับทองคำลดลง 20% เมื่อเทียบไตรมาสแรกปีก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์
ไบรอัน ลาน ผู้ค้าทองคำกล่าวว่า เครื่องประดับมีแนวโน้มที่จะมีราคาแพงขึ้นเนื่องจากมีต้นทุนแรงงานในการประดิษฐ์ชิ้นงาน และเครื่องประดับยังต้องเสียภาษีสินค้าและบริการ (GST) ซึ่งแตกต่างจากทองคำแท่งในเกรดที่ใช้ลงทุน
“ดังนั้น ถ้าเปรียบเทียบทั้งสองอย่าง หากต้องการลงทุน แน่นอนว่าผู้คนจะมองหาทองคำแท่งมากกว่าเครื่องประดับ” นายลาน กรรมการผู้จัดการจาก GoldSilver Central กล่าว และว่าหลายคนมองว่าทองคำเป็นสกุลเงินสากล ผู้คนยังคิดด้วยว่าสามารถหลอมทองคำได้หากจำเป็น และเปลี่ยนให้เป็นเครื่องประดับได้
สำหรับช่วงเวลาที่เหลือในปีนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าความน่าสนใจของทองคำในสายตาธนาคารกลางจะหนุนความต้องการ ผลักดันให้ราคาทองพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง
นายฟานบอกด้วยว่า ธนาคารกลางได้ซื้อทองคำในปริมาณมหาศาลในช่วงสามปีที่ผ่านมา
“ธนาคารกลางมีความอ่อนไหวต่อพัฒนาการทางการเมืองบางอย่างตามที่เราได้เห็นกันมากขึ้น แบงก์ชาติก็เหมือนนักลงทุนคนอื่นๆ ที่จำเป็นต้องหาวิธีสร้างความยืดหยุ่นมากขึ้นเช่นกัน” ฟานกล่าว
บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ด้วยว่า ด้วยความผันผวนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้การแห่ซื้อทองคำจะยังคงดำเนินต่อไปในระยะกลางถึงระยะยาว
อ้างอิง: CNA







