'บิล เกตส์' ฉะ 'อีลอน มัสก์' DOGE ลดงบฯ USAID จะทำคนตายเป็นล้าน

'บิล เกตส์' เตือน 'อีลอน มัสก์' สั่งกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ลดงบประมาณและปลดคนในหน่วยงาน USAID จะทำคนตายเป็นล้าน
บิล เกตส์ วิจารณ์เพื่อนร่วมวงการ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี “อีลอน มัสก์” จากการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลผ่านกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) โดยเตือนว่า การตัดงบประมาณของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (USAID) อาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคนทั่วโลก
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ดำเนินการยุบหน่วยงาน USAID และยุติภารกิจช่วยเหลือต่างประเทศ หลายสัปดาห์หลังจากนั้นองค์กรไม่แสวงหากำไรหลายแห่งต้องเผชิญกับการยกเลิกสัญญาหรือการให้เงินไม่สม่ำเสมอ แม้ว่าบางองค์กรจะได้รับเงินบ้างแล้วก็ตาม ขณะที่องค์กรต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือก็ออกมาเตือนเกี่ยวกับการลดงบประมาณซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงแก่ชีวิตได้
“หากสิ่งที่อีลอนทำเมื่อร่วมงานรัฐบาลคือ การเน้นเรื่องประสิทธิภาพหรือการใช้เอไอ แน่นอนเราต้องทำให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้ามันเป็นเช่นนั้น การที่เขาทุ่มเทเวลาและความเชี่ยวชาญให้กับเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม” เกตส์ให้สัมภาษณ์กับฟารีด ซาคาเรียจาก ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันศุกร์ (9 พ.ค.)
“แต่ความจริง กลับเป็นการลดจำนวนคนเหล่านี้ลง ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดคิด พนักงานบางคนควรได้กลับมาทำงานต่อ”
เกตส์กล่าวเสริมอีกว่าโลกกำลังอยู่ในภาวะ “วิกฤติด้านสุขภาพ” เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐและยุโรปลดการใช้จ่ายด้านโครงการสุขภาพ
ความเห็นของผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์นี้ มีขึ้นหลังจากที่เกตส์ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) ว่ามีแผนบริจาคเงิน 200,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา “เกือบทั้งหมด” ผ่านมูลนิธิเกตส์ในช่วง 20 ปีข้างหน้า ก่อนที่จะปิดองค์กร ซึ่งเป็นการเร่งการใช้จ่ายจากแผนก่อนหน้านี้
การตัดสินใจดังกล่าว มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความกังวลว่า ความคืบหน้าในการพัฒนาด้านสุขภาพสุขภาพทั่วโลกอาจหยุดชะงัก หรือถดถอย
“ผมคิดว่าถ้าคุณเข้ามา แล้วมาบอกว่า ‘ภายในสองเดือน คุณจะตัดงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์จากงบประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์ได้’ คุณไม่มีทางสำเร็จหรอก แล้วก็จะหันไปตัดงบส่วนที่ง่ายที่สุด และเป็นงบฯ ส่วนที่อยู่ต่างประเทศ ทำให้สามารถบิดเบือนข้อมูลได้ง่าย และมักเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนที่เขาไม่รู้จัก"
เกตส์ยังได้วิพากษ์วิจารณ์คำกล่าวอ้างเท็จของมัสก์เมื่อเดือนก.พ.ที่บอกว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังใช้เงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ไปกับการซื้อถุงยางอนามัยให้กาซา ซึ่งมัสก์เองก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องเท็จ นอกจากนี้ เกตส์ยังประณามการกล่าวหาเชิงลบของมัสก์ต่อเจ้าหน้าที่ USAID ซึ่งมัสก์เคยเรียกพวกเขาว่า “พวกคนบ้าหัวรุนแรง” และ “พวกต่อต้านอเมริกา” ขณะที่เกตส์เรียกคนเหล่านั้นว่า “ฮีโร่”
“นอกจากกองทัพแล้ว คนกลุ่มนี้ก็มีเกียรติไม่แพ้กัน แล้วคุณรู้ไหม พวกเขาเป็นหน้าเป็นตาของอเมริกาสำหรับผู้คนที่เราอยากให้มีชีวิตอยู่กับเรา และเราต้องการให้ระบบสุขภาพของพวกเขาสามารถติดตามการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้” เกตส์กล่าว และว่า “การว่าร้ายคนเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมมาก”
การที่เกตส์มีมุมมองต่อมัสก์เช่นนี้ เนื่องจากเกตส์มีมูลนิธิที่คอยให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพ
มูลนิธิเกตส์ (Gates Foundation) ใช้เงินมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2543 เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสุขภาพที่สำคัญ โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรไม่แสวงหากำไรอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งงานของมูลนิธิรวมการพัฒนาวัคซีนใหม่ เครื่องมือวินิจฉัย และกลไกการส่งมอบการรักษาเพื่อต่อสู้กับโรคต่างๆ ทั่วโลก
เกตส์บอกว่าแม้มัสก์จะเป็นอัจฉริยะในบางด้าน แต่ในด้านสุขภาพระดับโลก มัสก์ไม่ให้ความสำคัญ และแนะว่า หากตัดงบประมาณเพียงเล็กน้อยและผลักดันให้รัฐบาลประสิทธิภาพมากขึ้น ตนพอใจกับเรื่องนี้ แต่การลดงบฯ ลดคน 80% จะทำให้มีคนเสียชีวิตหลายล้านคน และบอกว่ามันคือความผิดพลาด
ความคิดเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เกตส์ให้สัมภาษณ์กับไฟแนนเชียลไทม์สเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเขาได้กล่าวหาว่ามัสก์ “ฆ่าเด็กที่ยากจนที่สุดในโลก” ด้วยการลดการใช้จ่ายของรัฐบาล
ตัวแทนของมัสก์ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการกุศลประเด็นแรกที่มัสก์และเกตส์ทะเลาะกัน
นอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับซาคาเรีย เกตส์ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินการอื่นๆ ของทำเนียบขาว รวมถึงนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งภาษีดังกล่าวเป็นภัยคุกคามที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐสูงขึ้น และเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของธุรกิจในสหรัฐ เช่นเดียวกับที่คาดการณ์กันว่าปัญญาประดิษฐ์จะสะเทือนตลาดงานและเศรษฐกิจ
อ้างอิง: CNN







