เศรษฐกิจจีนอยู่ในทิศทางบวก เพราะหดตัวตามวัฏจักรเหมือนกันทั้งโลก จริงหรือ?

เศรษฐกิจจีนอยู่ในทิศทางบวก เพราะหดตัวตามวัฏจักรเหมือนกันทั้งโลก จริงหรือ?

เศรษฐกิจจีนอยู่ในทิศทางบวก เพราะหดตัวตามวัฏจักรเหมือนกันทั้งโลก จริงหรือ? หาคำตอบไปพร้อมกันกับ อ้ายจง ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โจทย์ใหญ่ของ เศรษฐกิจจีน ในปัจจุบัน คือการเร่งกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันจากภาคส่งออกและกำแพงภาษี โดยในเดือนเมษายน 2568 ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หดตัว 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้จะฟื้นตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนเมษายน PPI ลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อน ภาวะเงินฝืด ที่ยังไม่คลี่คลาย และทำให้หลายฝ่ายมองว่า "เศรษฐกิจจีนกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืดอย่างแท้จริง"

ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนกลายเป็นหัวข้อถกเถียงในเวทีโลก บางฝ่ายมองว่า การชะลอตัวในขณะนี้เป็นเพียงวัฏจักรธรรมดาเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และไม่น่ากังวลนัก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาลึกลงไปจะพบว่า สิ่งที่จีนเผชิญอยู่ไม่ใช่เพียงวัฏจักรระยะสั้น แต่รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวในระยะยาว หากไม่เร่งจัดการ

1. จีนไม่มีภาระหนี้ต่างประเทศสูง แถมยังเป็นเจ้าหนี้ของหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจจีนไม่มีปัญหา?

ประเด็นแรกที่มักถูกหยิบยกมาในการถกเรื่องจีนมีปัญหาเศรษฐกิจหรือไม่ คือมีคำกล่าวกันว่า จีนไม่มีภาระหนี้ต่างประเทศสูง แถมยังเป็นเจ้าหนี้ของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งแม้จะเป็นข้อได้เปรียบจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจภายในจะปลอดภัย หากจีนไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคภายในให้ฟื้นกลับมาได้ หรือหากความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคยังคงอ่อนแอ ปัญหาก็จะยิ่งสะสมลึกขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาคการส่งออกชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก

2. การลดลงของจำนวนประชากรจีน จะช่วยให้ความต้องการใช้ทรัพยากรภายในประเทศลดลง และทำให้ความตึงเครียดในการจัดสรรทรัพยากรลดลงตามไปด้วย = ผลบวกของจีน?

อีกข้อหนึ่งที่มักได้ยินคือ การลดลงของจำนวน ประชากรจีน จะช่วยให้ความต้องการใช้ทรัพยากรภายในประเทศลดลง และทำให้ความตึงเครียดในการจัดสรรทรัพยากรลดลงตามไปด้วย แต่ในความเป็นจริง จีนยังคงเดินหน้าอย่างจริงจังในประเด็นความมั่นคงด้านอาหารและทรัพยากรพื้นฐาน เพราะบางส่วนยังไม่สามารถผลิตได้เพียงพอ และต้องพึ่งพาการนำเข้า

มากไปกว่านั้น หากพิจารณาตามความเป็นจริง การลดลงของประชากรยังหมายถึงการสูญเสีย "ทรัพยากรมนุษย์" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกตะวันตกใช้คำว่า "population dividend" หรือข้อได้เปรียบทางประชากร มาตั้งข้อกังขากับจีน ว่าจีนจะผ่านพ้นวิกฤติหลังโควิดได้หรือไม่ เพราะขาดแต้มต่อเรื่องจำนวนประชากรแล้ว โดยเฉพาะเมื่ออินเดียก้าวขึ้นมาแทนที่ในฐานะประเทศที่มีประชากรมากที่สุด จนจีนต้องตอบโต้ด้วยแนวคิดใหม่อย่าง "talent dividend" ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการปรับฐานความได้เปรียบของตน

3. จีนสามารถผลิตได้แทบทุกอย่าง ทำให้จีนไม่ต้องกังวลเรื่องเศรษฐกิจเลย? และจีนยังมีการเติบโตของระบบเศรษฐกิจใหม่อยู่เสมอ ดังนั้น "ไม่น่ากังวล"?

อีกข้อที่ถูกยกขึ้นมาคือ จีนสามารถผลิตได้แทบทุกอย่าง ทำให้จีนไม่ต้องกังวลเรื่องเศรษฐกิจเลย ประเด็นนี้ควรตั้งข้อสังเกตว่า การผลิตได้ ไม่ได้หมายความว่าจะตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทั้งหมด หรือจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และการพึ่งพากระแสบริโภคแบบ "ชาตินิยม" เช่น China Chic อาจใช้ได้ดีในระยะสั้น แต่ไม่สามารถเป็นเครื่องยนต์หลักของการเติบโตระยะยาว

เมื่อภาคการผลิตเริ่มชะลอตัว จีนจึงพยายามปรับไปใช้ภาคบริการเป็นเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ในบางเดือนจะเติบโตแบบไม่สูงนักก็ตาม นี่แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการพยายามปรับตัวของจีนในสถานการณ์ที่ท้าทาย

ในขณะเดียวกัน จีนยังพยายามผลักดันการเติบโตในภาคเศรษฐกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI หุ่นยนต์ อวกาศ หรือควอนตัม ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว แต่การผลักดันเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ให้เติบโตได้ จำเป็นต้องอาศัยเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม และ "เม็ดเงิน" ที่เพียงพอจากทั้งภาครัฐและเอกชน

ในบริบทนี้จึงมีความเคลื่อนไหวสำคัญคือ กฎหมายส่งเสริมภาคเอกชนของจีน ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐในการให้ภาคเอกชนยังคงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ และเดินไปในทิศทางที่ยั่งยืนมากขึ้น สอดคล้องกับสิ่งที่จีนพยายามย้ำมาโดยตลอดว่า จีนมีลักษณะ "เศรษฐกิจตลาด" ที่ควรได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก โดยเฉพาะในการโต้แย้งกับสหรัฐ และประเทศตะวันตกว่าการกีดกันภาคเอกชนจีนเป็นการกระทำที่ "ไม่ใช่ตลาด"

ข้อมูลจากสื่อหลักของจีนอย่างซินหัวระบุว่า ผู้ประกอบการเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของ เศรษฐกิจจีน มายาวนาน โดยครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของ GDP ของประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการจ้างงานภายในเมืองถึงประมาณร้อยละ 80 ปัจจุบันจีนมีผู้ประกอบการเอกชนที่จดทะเบียนมากกว่า 57 ล้านราย คิดเป็นกว่าร้อยละ 92 ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศ (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568)

ภาพรวมทั้งหมดนี้สะท้อนว่า "จีน" ไม่ได้เผชิญเพียงแค่วัฏจักรเศรษฐกิจตามธรรมชาติ หากแต่กำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาการลงทุนภาครัฐและภาคอสังหาริมทรัพย์ในอดีต ความเหลื่อมล้ำที่ยังฝังลึก ปัญหาประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแรงกดดันจากภายนอกโดยเฉพาะจากอเมริกา

จีนมีความพยายามอย่างจริงจัง ทั้งในการปรับบทบาทภาคเอกชน ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ และเสริมฐานเศรษฐกิจในประเทศ แต่คำถามสำคัญคือ จีนจะสามารถกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและสร้างตลาดภายในให้แข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันจาก สงครามการค้า และความพยายามของสหรัฐที่ต้องการลดบทบาทจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก ยังคงต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดต่อไป

ผู้เขียน : ภากร กัทชลี (อ้ายจง) อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเจ้าของเพจอ้ายจง