วิเคราะห์เจรจาการค้ายกแรก 'สหรัฐ-จีน' เตือนอย่าเพิ่งคาดหวังสูง

การเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่าง 'สหรัฐ' กับ 'จีน' เริ่มขึ้นในวันนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่เบื้องต้นนักวิเคราะห์เตือน 'อย่าเพิ่งคาดหวังสูง' มองสงครามการค้าสองประเทศเป็นศึกใหญ่ อย่างดีแค่หยุดยิง ยังไม่ถึงขั้นบรรลุสันติภาพ
สำนักข่าวรอยเตอร์สออกรายงานเชิงวิเคราะห์ว่า "สหรัฐ" กับ "จีน" กำลังจะเริ่มการเจรจา "สงครามการค้าครั้งที่ 2" ในวันเสาร์นี้ ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อถอยจากสถานการณ์ที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นเกมที่ "ต่างฝ่ายต่างแพ้" ในเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และยังไม่มีความชัดเจนว่า "ชัยชนะ" ของแต่ละฝ่ายจะออกมามีหน้าตาเป็นอย่างไร
จีนถือเป็นศูนย์กลางของสงครามการค้าโลกที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเอาไว้ ซึ่งสร้างความวุ่นวายให้กับตลาดการเงิน พลิกผันห่วงโซ่อุปทาน และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรงทั่วโลก
วอชิงตันต้องการลดการขาดดุลการค้ากับปักกิ่ง และโน้มน้าวให้จีนเลิกใช้โมเดลเศรษฐกิจแบบที่สหรัฐเรียกว่า "พาณิชย์นิยม" (mercantilism) และหันมาสนับสนุนการบริโภคทั่วโลกให้มากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจหมายถึง "การปฏิรูปภายในประเทศที่เจ็บปวด" ของจีน
ส่วนปักกิ่งเองต่อต้านการแทรกแซงจากภายนอกต่อเส้นทางการพัฒนาของตนเอง และมองว่า "ความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี" เป็นสิ่งสำคัญในการหลีกเลี่ยง "กับดักรายได้ปานกลาง"
สิ่งที่จีนต้องการก็คือ ให้สหรัฐยกเลิกภาษีศุลกากรที่เพิ่งประกาศไป โดยหันมาบอกแบบเจาะจงเลยว่าต้องการให้จีนซื้ออะไรมากขึ้น และต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในเวทีโลก
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะห่างไกลกันมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่มากกว่า สงครามการค้า ครั้งแรกในวาระการเป็นประธานาธิบดีครั้งก่อนหน้านี้ของทรัมป์
ไม่คาดหวัง(สูง) ไม่ผิดหวัง
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า การพบกับที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันนี้ระหว่างฝ่ายสหรัฐที่นำโดย "สก็อตต์ เบสเซนต์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ "เจมีสัน กรีเออร์" ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) กับฝ่ายของจีนที่นำโดย "เหอ ลี่เฟิง" รองนายกรัฐมนตรีของจีนที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ดูเหมือนจะไม่สามารถคาดหวังอะไรได้มากนัก
เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของทั้งสองประเทศในอัตรามากกว่า 100% ไม่ใช่แค่ประเด็นเดียวของความขัดแย้งที่กำลังจะเจรจากัน
ประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการค้า เช่น เฟนทานิล ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งรวมถึงสงครามในยูเครน น่าจะทำให้การแก้ปัญหาพิพาททางการค้าที่กำลังกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในขณะนั้น ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น
แหล่งข่าวรายหนึ่งที่ทราบเรื่องการเจรจา เปิดเผยว่า นอกจากซาร์เศรษฐกิจอย่างเหอ ลี่เฟิงแล้ว จีนยังส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้าน "ความมั่นคงสาธารณะ" เข้าร่วมการเจรจาด้วย ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับภาษีมีความเกี่ยวข้องมากเพียงใด
“ในสุดสัปดาห์นี้ พวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ นอกจากการพยายามกำหนดว่าจะมีการดำเนินการหลังจากนี้หรือไม่ และหัวข้อในวาระการประชุมจะเป็นอย่างไร” สก็อตต์ เคนเนดี ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจจีนจากศูนย์การศึกษากลยุทธ์และระหว่างประเทศ (CSIS) ในกรุงวอชิงตันกล่าว
"ฉากทัศน์ที่ดีที่สุด" (ที่พอจะคาดหวังได้) สำหรับตลาดการเงินในระยะเริ่มต้นก็คือ "ข้อตกลงที่จะลดอัตราภาษีจากระดับเกิน 100%" ซึ่งตลาดมองว่าเป็นการคว่ำบาตรทางการค้าอย่างแท้จริง ให้เหลือเพียงระดับที่สินค้าจะสามารถไหลเข้าออกได้ทั้งสองทาง แม้าว่าจะยังคงสูงเกินไปสำหรับธุรกิจทั้งสองฝ่ายก็ตาม
ทรัมป์เองซึ่งเพิ่งจะเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ระหว่าง "สหรัฐกับอังกฤษ" ได้ส่งสัญญาณเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้โดยโพสต์ในโซเชียลมีเดียว่า "อัตราภาษี 80% ดูจะเหมาะสม" (จากปัจจุบันที่ 145%) แม้จะสูงกว่าระดับที่เขาเคยให้คำมั่นไว้ในช่วงหาเสียงเมื่อปีที่แล้วว่า จะเรียกเก็บจากจีน 60% ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าจีนจะตอบรับอย่างไร หากทีมของสหรัฐเสนอเรื่องนี้ในการเจรจา
"ผมคาดว่าปักกิ่งจะ 'ยืนกราน' ที่จะขอรับการยกเว้นภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วัน เช่นเดียวกับที่ประเทศอื่นๆ ได้รับ เพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเจรจา” ไรอัน แฮสส์ ผู้อำนวยการศูนย์ John L. Thornton China Center ของสถาบันบรูคกิ้งส์ กล่าว พร้อมเสริมว่า "ไม่น่าจะมีความคืบหน้าใดๆ มากกว่านี้"
"เนื่องจากการตัดสินใจของสหรัฐที่จะขึ้นภาษีศุลกากร 'เป็นการตัดสินใจโดยพลการ' ดังนั้นการตัดสินใจลดระดับภาษีศุลกากรจึงสามารถทำได้โดยพลการเช่นกัน”
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ได้คาดหวังถึงขั้นที่จะมีการยกเว้นภาษี แต่หากมีการลดภาษีแม้เพียงเล็กน้อยและข้อตกลงที่จะติดตามผลที่อาจรวมถึงประเด็นอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการค้าโดยตรง เช่น เฟนทานิล ก็ถือเป็นผลลัพธ์เชิงบวกสำหรับนักลงทุนแล้ว
“หากมีการสงบศึกชั่วคราวหรือการลดภาษีลงมาให้พอๆ กัน ก็จะเอื้อต่อความพยายามในการเจรจาในอนาคตแล้ว” ป๋อ เจิ้งหยวน หุ้นส่วนของบริษัทที่ปรึกษา Plenum ในเซี่ยงไฮ้กล่าว
แค่ข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว
แม้ว่าแต่ละฝ่ายอาจจะนำไปกล่าวอ้างกับประชาชนของตัวเองว่า การลดภาษีใดๆ คือ "ชัยชนะเบื้องต้น" ของตน แต่ในความเป็นจริงนั้น โรงงานและแรงงานจำนวนมากในจีนกำลังจะเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบจากภาษีศุลกากรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ขณะที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันก็ต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นและการว่างงานเช่นกัน
และต้นเหตุหลักๆ ของความขัดแย้งก็จะยังคงอยู่เช่นเดิม
สภาพการค้าโลกอันบิดเบี้ยวไม่สมดุล ในฝั่ง "อุปทาน" นั้น ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกพึ่งพาการผลิตของจีนที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกมากเกินไป ส่วนฝั่ง "อุปสงค์" เองก็พึ่งพาผู้บริโภคชาวอเมริกันที่มั่งคั่งมากเกินไปเช่นกัน ปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเจรจาแค่วันนี้
แต่ตอนนี้ ตลาดก็พอจะโล่งใจได้บ้างที่อย่างน้อยสองประเทศมหาอำนาจชั้นนำของโลกมีโอกาสที่จะ "ถอยคนละก้าว" จากเส้นทางของความเสี่ยงที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งนักลงทุนกลัวว่าอาจจะลามจากการค้าไปสู่การเงินและด้านอื่นๆ ด้วย
ลินน์ ซ่ง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ ING ประจำจีนแผ่นดินใหญ่ คาดว่าการลดระดับความตึงเครียดใดๆ อาจจะช่วยทำให้ภาษีศุลกากรกลับมาอยู่ที่ประมาณ 60% ตามคำมั่นสัญญาของทรัมป์ก่อนการเลือกตั้ง
“ตัวเลขนี้ถือว่าสูงเพียงพอแล้วที่จะกีดกันมีสินค้าหลายประเภทตามทางเลือกที่เหมาะสม” แต่ยังเป็น “ระดับที่เปิดทางให้ผู้นำเข้าซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องหาตัวเลือกอื่นแทนและสร้างความยุ่งยากน้อยลงด้วย” ซ่งกล่าว
ที่มา: Reuters