'เวียดนาม' ออกแพ็คเกจเงินกู้ 6.6 แสนล้าน 'โครงสร้างพื้นฐาน-เทค'

'เวียดนาม' ออกแพ็คเกจเงินกู้ 6.6 แสนล้าน 'โครงสร้างพื้นฐาน-เทค'

'เวียดนาม' เอาจริง ออกแพ็คเกจเงินกู้ 6.6 แสนล้านผ่าน 21 แบงก์ ยกเครื่องใหญ่ลุยพัฒนา 'โครงสร้างพื้นฐาน-เทคโนโลยี' แต่สื่อวิเคราะห์ยังเป็นไปได้จริงยาก

สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า เวียดนาม กำลังวางแผนเตรียมออกแพ็คเกจเงินกู้ครั้งใหญ่มูลค่า "500 ล้านล้านดอง" (ราว 6.6 แสนล้านบาท) กับธนาคาร 21 แห่ง เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการพัฒนา "โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี" เพื่อมุ่งกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวทางการเงินครั้งใหญ่ที่ไม่ได้พบบ่อยนักในประเทศนี้

ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุด 4 แห่งในเวียดนาม ได้แก่ Vietcombank, VietinBank, BIDV และ Agribank ได้ให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อมูลค่า 60 ล้านล้านดอง (ราว 7.6 หมื่นล้านบาท) สำหรับโครงการขยายโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ส่วนธนาคารอื่นอีก 12 แห่งให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อรายละ 20 ล้านล้านดอง (ราว 2.5 หมื่นล้านบาท) และอีก 5 แห่งให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อรายละ 4 ล้านล้านดอง (ราว 5 พันล้านบาท)

ด่าว มินห์ ตู (Dao Minh Tu) รองผู้ว่าการธนาคารกลางเวียดนาม กล่าวว่า สินเชื่อดังกล่าวจะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราตลาดเฉลี่ยอย่างน้อย 1% (อัตราตลาด ณ กลางเดือนเม.ย. อยู่ที่ราว 6%) และอัตราดอกเบี้ยพิเศษจะคงอยู่เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี 

"ในเดือนพฤษภาคมนี้ ธนาคารของรัฐและธนาคารพาณิชย์จะเร่งเตรียมการและออกแพ็คเกจสินเชื่อตามแนวทางของรัฐบาลในเร็วๆ นี้" รองผู้ว่าการกล่าวเมื่อวันอังคาร

อย่างไรก็ตาม "ความเป็นไปได้จริง" ของแพ็คเกจสินเชื่อเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกตั้งคำถาม 

รองผู้ว่าฯ แบงก์ชาติเวียดนามกล่าวว่า ธนาคารต่างๆ จำเป็นต้องมีเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับโครงการที่เข้าเงื่อนไขในการให้สินเชื่อพิเศษ แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้นยังถือเป็นเรื่องยากสำหรับโครงการในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ

ขณะเดียวกัน โปรเจกต์ด้านโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องมีการกู้ยืมระยะยาว แต่เงินทุนที่ธนาคารในเวียดนามถือครองส่วนใหญ่นั้นเป็นเงินทุนระยะสั้น จึงทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ "ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง"

รัฐบาลมุ่งปรับโครงสร้างพื้นฐานช่วงการค้าป่วน

ทั้งนี้ เวียดนาม "ยังคง" เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ประมาณ 8% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 7.1% ในปี 2024 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี แม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะเผชิญความเสี่ยงจากสงครามการค้าโลกที่นำโดยสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศก็ตาม

รูปแบบการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามนั้นพึ่งพา "การส่งออกและการผลิต" เป็นอย่างมาก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ได้รับประโยชน์จากกระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในประเทศ ขณะที่เวียดนามกำลังเติบโตจนกลายเป็น "ศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคนอกประเทศจีน" ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันทางตอนเหนือ

อย่างไรก็ตาม ในเดือนเม.ย. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามถึง 46% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอัตราภาษีที่สูงที่สุดในโลก โดยรัฐบาลทรัมป์อ้างว่าเวียดนามเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐ

ในขณะที่กำลังเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ รัฐบาลเวียดนามจึงพยายามสนับสนุนปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในประเทศ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีแทน

\'เวียดนาม\' ออกแพ็คเกจเงินกู้ 6.6 แสนล้าน \'โครงสร้างพื้นฐาน-เทค\'

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนามกล่าวว่า รัฐบาลจะเบิกจ่ายการลงทุนสาธารณะเพิ่มขึ้นในปีนี้ และเขายังชี้ให้เห็นด้วยว่าโครงการต่างๆ มูลค่าราว 2.35 แสนล้านดอลลาร์ ที่ถูกระงับเพราะข้อติดขัดทางกฎหมายนั้น หากได้รับการแก้ไขและปล่อยออกมาได้ ก็จะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกมาก

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เวียดนามได้อนุมัติโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการ เช่น สะพาน ทางรถไฟ สนามบิน ทางหลวง และท่าเรือ ซึ่งถือเป็นการบรรลุเป้าหมายการเติบโตและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น

Vingroup ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และเป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเวียดนามอย่าง Vinfast "ได้กำหนดเป้าหมายให้โครงสร้างพื้นฐานเป็นธุรกิจหลักต่อไป" โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างทางรถไฟความเร็วสูงและอาจรวมถึงท่าเรือด้วย

รัฐบาลฮานอยยังระบุด้วยว่า "เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์" เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต โดยเน้นที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเซมิคอนดักเตอร์ โดยรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะใช้งบประมาณอย่างน้อย 3% ของจีดีพี สำหรับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี