ผู้จัดงานไพรด์สหรัฐกุมขมับ บริษัทเอกชนหลายแห่งเริ่มตัดเงินทุน

ผู้จัดงานไพรด์สหรัฐกุมขมับ บริษัทเอกชนหลายแห่งเริ่มตัดเงินทุน

“ทำเนียบขาว” เพ่งเล็งนโยบายด้านความแตกต่าง ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ส่งผลให้ภาคธุรกิจปรับเปลี่ยนนโยบายภายใน กระทบผู้กิจกรรมไพรด์สหรัฐหนัก

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า ภาคธุรกิจที่ครั้งหนึ่งเคยภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศกำลังหันหลังให้กับกิจกรรมเหล่านี้

ในปี 2568 ผู้จัดงานไฟร์ดจำนวนมากกำลังเผชิญกับปัญหาการตัดเงินสนับสนุนอย่างมีนัยยะ โดยมีหลายองค์กรที่ได้ถอนตัวจากการสนับสนุนซึ่งก่อนหน้านี้เคยให้เงินช่วยเหลือเป็นจำนวน 6 หลัก ส่งผลให้ท้ายที่สุดผู้จัดงานจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน อีกทั้งยังต้องหาเงินทุนจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม

บริษัทจำนวนหนึ่งได้ให้เหตุผลในการถอนตัวจากการให้ความร่วมมือเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจขณะที่หนึ่งในผู้จัดงานไพรด์ให้ความเห็นว่าบรรยากาศในสังคมมีความคุกรุ่นต่อนโยบายด้านความแตกต่าง ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) จึงคาดว่านี่เป็นอีกหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บริษัทหลายแห่งทำการพิจารณาในการเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้

ซูซาน ฟอร์ด ผู้อำนวยการซานฟรานซิสโกไพรด์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเอ็นซีบีซีว่า “ฉันคิดว่าเหตุผลหลักๆ ที่หลายบริษัทเลือกที่จะถอนตัวเป็นเพราะสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่แตกต่างไปจากเดิมมาก”

ปัญหาทางการเงิน

ผู้จัดงานไพรด์หลายกลุ่มต่างให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่เเป็นคยผู้สนับสนุนมาอย่างยาวนาน ต่างเร่ิมทำสัญญาให้การสนับสนุนเพียงปีต่อปีเท่านั้น โดยจะเริ่มทำการพูดคุยกันในช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่จะมีการจัดงานเฉลิมฉลอง การสนับสนุนในลักษณะดังกล่าวทำให้ผู้จัดงานต่างก็รู้สึกเปราะบางและหวาดหลัวเพราะหากบริษัทต่างๆ ที่เป็นผู้สนับสนุนมาอย่างยาวนานตัดสินใจยุติการให้เงินทุนจะส่งกระทบต่อภาพรวมของกิจกรรมมหาศาล

ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนเงินทุนครั้งใหญ่ ซีแอตเทิลไพรด์ และ นิวยอร์กไพรด์ เปิดเผยว่าพวกเขามีภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าเงินทุนที่ได้รับกว่า 350,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 12.25 ล้านบาท) อีกทั้งในฝั่งของซานฟรานซิสโกไพรด์และทวินซิตี้ไพรด์ เปิดเผยว่า พวกเขาโดนตัดงบประมาณกว่า 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 7 ล้านบาท)

นอกจากนี้งานไพรด์หลายแห่งยังได้ออกมาเปิดเผยรายชื่อหน่วยงานที่ทำการยกเลิกการสนับสนุน แต่อย่างไรก็ดีผู้จัดอีกส่วนหนึ่งยังคงเก็บข้อมูลเป็นความลับเพื่อรักษาความสัมพันธ์

ฟอร์ด หนึ่งในผู้จัดซานฟรานซิสโกไพรด์ ได้ออกมาเปิดรายชื่อหน่วยงานที่ยกเลิกการสนับสนุนในการจัดกิจกรรมในปีนี้หลังจากที่ร่วมงานกันมาเป็นเวลานานได้แก่ แอนไฮเซอร์-บุช, คอมแคสต์, ดิอาจิโอ และนิสสัน

โดยบริษัทเหล่านี้ต่างให้เหตุผลในการยุติการร่วมงานที่แตกต่างกันไป

ตัวแทนจากคอมแคสต์ให้ข้อมูลว่า บริษัทยังคงให้การสนับสนุนงานไพรด์อื่นๆ ที่จัดในซานฟรานซิสโกและยังสนับสนุนการทำไพรด์พาเหรดในเมืองโอกแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย, ซาคราเมนโตและซิลิคอนแวลลีย์ ในส่วนของดิอาจิโอ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทได้ทำการสนับสนุนกิจกรรมไพรด์ระหว่างประเทศผ่านแบรนด์สเมอร์นอฟ นอกจากนี้ในฝั่งของนิสสันก็ได้ออกแถลงการณ์ว่าในฐานะผู้ทำการผลิตยานยนต์จะไม่ทำการสนับสนุนกิจกรรมไพรด์ใดๆ เนื่องจากประสบปัญหาค่าใช้จ่ายในด้านการตลาดและยอดขาย สุดท้ายตัวแทนจากแอนไฮเซอร์-บุช ปฏิเสธที่จะลงความเห็นในเหตุการณ์ดังกล่าว

แคปิทอล ไพรด์ อัลไลแอนซ์ องค์กรไม่แสวงหากำไรผู้จัดงานเวิล์ดไพรด์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เผยว่า ในปีนี้คอมแคสต์ บริษัทด้านโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ และดีลอยท์ หนึ่งในสี่บริษัทสอบบัญชีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ทำการปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนหลังจากที่ร่วมมือกันมาอย่างยาวนาน ในขณะที่ บูซ อัลเลน แฮมิลตัน ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสนับสนุน ก่อนที่จะทำการถอนตัวในภายหลัง

ตัวแทนจากบูซ อัลเลน แฮมิลตัน ได้แถลงว่า การปฏิเสธการให้เงินทุนสนับสนุนกิจกรรมเพื่อความเท่าเทียมนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนสิทธิของพนักงาน

ไรอัน บอส หนึ่งในกรรมการบริหารของบูซ อัลเลน แฮมิลตัน ให้สัมภาษณ์ “จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความผันผวนของเศรษฐกิจ ส่งผลให้บริษัทในฐานะผู้ให้เงินสนับสนุนเกิดความวังกลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ” โดยบอสได้เน้นย้ำไปที่ คำสั่งพิเศษภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการสอบสวนองค์กรและหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนนโยบายความแตกต่าง ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม

ฟอร์ด กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ทำเนียบขาวได้แสดงท่าทีต่อต้าน LGBTQ+ และยังได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐเพ่งเล็งไปที่คนข้ามเพศนั้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจในสหรัฐเป็นอย่างมาก

“พวกเราทุกคนต่างเห็นความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและความเชื่อที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านั้นขององค์กรต่างๆ”

ทำเนียบขาวไม่ได้มีการลงความเห็นใดๆ ต่อซีเอ็นบีซี

อ้างอิง: CNBC

งานชิ้นนี้เป็นผลงานการแปลของ พงศ์พล นิสยันท์ นักศึกษาฝึกงานของกรุงเทพธุรกิจ