ค่าเงินฉุด Toyota รายได้วูบ 4 หมื่นล้าน คาดทั้งปีกำไรลดฮวบ 21%

ค่าเงิน - ภาษีทรัมป์พ่นพิษ 'โตโยต้า' รายได้สองเดือนวูบ 4 หมื่นล้านบาท คาดปีงบ 2569 พลาดเป้าเกือบ 1 ล้านล้านเยน ดอลลาร์อ่อนค่าปัญหาหนักสุด
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป (Toyota Motor Corp.) แถลงในวันนี้ (8 พ.ค.68) ว่า บริษัทอาจเผชิญกำไรในปีงบประมาณปัจจุบันลดลงถึง 21% จากปัจจัย "ค่าเงินดอลลาร์" ที่อ่อนค่าลง และผลกระทบจาก "มาตรการภาษี" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเบื้องต้นเพียงแค่ช่วง 2 เดือน ระหว่างเดือนเม.ย. - พ.ค. ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการดำเนินงานไปแล้วถึง 1.8 แสนล้านเยน (ราว 4.25 หมื่นล้านบาท)
โตโยต้าซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์อันดับหนึ่งของโลกในแง่ยอดขาย ระบุว่า รายได้จากการดำเนินงาน (operating income) ในปีงบประมาณปัจจุบันสิ้นสุดเดือนมี.ค.2569 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.8 ล้านล้านเยน หรือลดลงถึงราวหนึ่งล้านล้านเยนจากปีงบประมาณก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 4.8 ล้านล้านเยน และยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.7 ล้านล้านเยน
ผลประกอบการของโตโยต้ายังแสดงให้เห็นว่า มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อบริษัทในหลายๆ ด้านพร้อมกัน โดยเบื้องต้นโตโยต้าประมาณการผลกระทบช่วง 2 เดือนแรก (เม.ย. - พ.ค.) ว่าจะทำให้บริษัทสูญเงินโดยตรง 180,000 ล้านเยน และคาดว่าผลกระทบตลอดทั้งปีงบประมาณจะอยู่ที่ราว 745,000 ล้านเยน (เกือบ 1.7 แสนล้านบาท) จากการเคลื่อนไหวของ "ค่าเงิน" ซึ่งจะเป็นผลกระทบที่หนักที่สุด
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีของทรัมป์ และผลกระทบต่อการค้าโลก ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสำหรับโตโยต้าแล้ว ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ยังหมายถึงกำไรที่ลดลงเมื่อรายได้ของสหรัฐถูกนำส่งกลับประเทศด้วย
โคจิ ซาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของโตโยต้ากล่าว ระหว่างการแถลงข่าวว่า รายละเอียดเกี่ยวกับภาษีของสหรัฐยังไม่เป็นที่ชัดเจนมากนัก ทำให้ยากต่อการดำเนินการ "เราไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าภาษีเหล่านี้จะมีผลถาวรหรือไม่ และจะเกิดอะไรขึ้น"
ทางด้านบรรดานักวิเคราะห์เตือนว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจกระตุ้นให้ราคาสินค้าในสหรัฐ และที่อื่นๆ พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง
ทั้งนี้ โตโยต้าอาจเผชิญกับต้นทุนด้านแรงงานที่แพงขึ้น และถูกบังคับให้ใช้จ่ายด้านการลงทุนมากขึ้น หากตัดสินใจขยายฐานการผลิตในสหรัฐ ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการภาษีรถยนต์นำเข้า 25% ของสหรัฐ และมาตรการอื่นๆ ของสหรัฐ ซึ่งกำลังเป็นแรงกดดันที่ค่ายรถยนต์ทั่วโลกกำลังเผชิญเช่นเดียวกัน
สำหรับกำไรจากการดำเนินงานในช่วงไตรมาสสิ้นสุดเดือนมี.ค.2568 แทบไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% เป็น 1.12 ล้านล้านเยน (ราว 2.5 แสนล้านบาท)
ปัจจุบัน "ญี่ปุ่น" ยังคงเป็นตลาดที่ทำกำไรได้มากที่สุดของโตโยต้า และเป็นแสงสว่างเพียงจุดเดียวด้วยกำไรที่เพิ่มขึ้น 18% ในไตรมาสที่ผ่านมา
ส่วนใน "จีน" นั้น แม้ว่ายอดขายรถยนต์ของโตโยต้าในจีนจะลดลงน้อยกว่าผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายอื่นๆ แต่โตโยต้าก็ยังคงต้องต่อสู้กับยอดขายที่ลดลงในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์รถยนต์ของจีนเอง
ขณะที่ตลาด "อเมริกาเหนือ" ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโตโยต้า การขาดทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านเยน จาก 28,000 ล้านเยนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งได้รับผลกระทบจากการหยุดการผลิตชั่วคราวของโรงงานในรัฐอินเดียนา
ทางด้านราคาหุ้นของโตโยต้าปรับตัวลดลงหลังจากแถลงข่าวผลประกอบการในวันนี้ โดยปิดตลาดวันนี้ (8 พ.ค.68) ปิดลบไป 1.27% อยู่ที่ 2,672 เยน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







