“ลาบูบู้” จะรอดไหมในสงครามการค้าและภาษีทรัมป์

“ลาบูบู้” จะรอดไหมในสงครามการค้าและภาษีทรัมป์

ความนิยม “ลาบูบู้” ในสหรัฐจ่อลดฮวบ หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีต่อจีนทะลุ 100% ทำ Pop Mart International Group Ltd. ต้องเร่งย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามซึ่งโดนภาษีเพียง 46% และอยู่ในช่วงระงับการขึ้นภาษี 90 วัน

ท่ามกลางกระแสความนิยมตุ๊กตามอนสเตอร์ขนฟูที่กำลังระบาดไปทั่วโลก “ลาบูบู้” (Labubu) คอลเลกชันตุ๊กตาจากบริษัทของจีน Pop Mart International Group Ltd. กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่จากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์

ลาบูบู้ ตัวการ์ตูนที่มีลักษณะเด่นด้วยร่างกลมขนฟู หูแหลม ฟันคม และสีหน้าซุกซน กลายเป็นกระแสนิยมบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok ที่มีการใช้แฮชแท็ก #labubu มากกว่า 1 ล้านโพสต์ ผู้คนนิยมเก็บสะสมตุ๊กตาเหล่านี้ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 15 ถึง 960 ดอลลาร์สหรัฐ (500 - 32,000 บาท) ขึ้นอยู่กับขนาด

ความนิยมพุ่งทะยานในปี 2024 หลังจาก ลิซ่า - ลลิษา มโนบาล นักร้องจากวงแบล็คพิงค์ ผูกลาบูบู้ติดอยู่กับกระเป๋าและต่อมาได้โพสต์เกี่ยวกับตุ๊กตาดังกล่าวบนอินสตาแกรมส่วนตัว ส่งผลให้ยอดขายสินค้าดังกล่าวในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นจนกระทั่งลาบูบู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “มาสคอต” การท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการของประเทศไทยในเดือนก.ค. ก่อนจะขยายความนิยมไปทั่วเอเชียและทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า นโยบายการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 145% โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ Pop Mart ต้องปรับราคาตุ๊กตาลาบูบู้ขนาดพวงกุญแจยอดนิยมในสหรัฐฯ จาก 22 ดอลลาร์ (ประมาณ​ 737 บาท) เป็น 28 ดอลลาร์ (ประมาณ 938 บาท) ในคอลเลกชันล่าสุดที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา

“ลาบูบู้” จะรอดไหมในสงครามการค้าและภาษีทรัมป์ รายได้ของ Pop Mart สามปีย้อนหลัง

ด้านสกาย คานาเวส นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Emarketer Inc. แสดงความกังวลว่า การขึ้นราคาอาจส่งผลกระทบกับผู้บริโภคซึ่งเป็นคนวัยหนุ่มสาวอย่างมาก ด้านบริษัทเองกล่าวว่าพยายามรักษาระดับราคาให้เข้าถึงได้ และได้ขยายการผลิตไปยังเวียดนามเพื่อกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน โดยขณะนี้ภาษีนำเข้า 46% จากเวียดนามกำลังถูกระงับไว้ชั่วคราว

แม้ความท้าทายจากนโยบายภาษีจะเพิ่มขึ้น แต่กระแสความนิยมของลาบูบู้ยังคงแรง สินค้าบนร้านค้าออนไลน์ของ Pop Mart แทบจะขายหมดทุกรายการ นอกจากนี้ ตลาดรอง (Resell Market) ยังคึกคัก เช่น เคนนี เชียง พนักงานการเงินวัย 24 ปีในนิวยอร์ก ที่สามารถทำเงินได้ราว 10,000 ดอลลาร์จากการขายต่อลาบูบู้ผ่าน Facebook Marketplace โดยขายในราคาสูงกว่าต้นทุน 2-3 เท่า

ท้ายที่สุด ยังเป็นที่ถกเถียงว่ากระแสความคลั่งไคล้ลาบูบู้จะอยู่ไปได้อีกนานเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อการขึ้นราคาสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันจากภาษีนำเข้าอาจทำให้แฟนๆ ลาบูบู้ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่สำหรับนักขายต่อในตลาดรองบางราย การเพิ่มขึ้นของราคาอาจเป็นโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้น หากภาษียังคงอยู่ตามที่คาดการณ์​​

อ้างอิง: Bloomberg