ย้อนประวัติศาสตร์ 50 ปี ไทยจับมือจีนใครได้ประโยชน์

ปี 2025 ซึ่งครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน บรรยากาศคึกคักเป็นอย่างมากทั้งในแวดวงการเมือง การทูต ธุรกิจการค้า และประชาชนกับประชาชน
แต่หากย้อนเวลากลับไปในวันเริ่มต้น 1 ก.ค.1975 ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ส่งผลแค่ไทยกับจีนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสหรัฐด้วย และที่สำคัญใครบ้างที่ได้ประโยชน์
รศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงาน “คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน: ยุคก่อนและหลังอาณานิคม” ที่มูลนิธิคึกฤทธิ์ 80 ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ จัดร่วมกับภาควิชาเมื่อวันก่อน เผยถึงมุมมองต่อการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ในมิติที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง
หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์รู้สึกมาตลอดว่าตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาเข้ามามีอิทธิพลกับประเทศไทยสูงมาก โดยเฉพาะในวงการประวัติศาสตร์ ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์ของไทยช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับอิทธิพลจากประวัติศาตร์นิพนธ์แบบสหรัฐอเมริกามากมาย area study ก็คือศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพื่อสู้สงครามเย็น เอกสารหลักฐานที่นิยมใช้มากในแวดวงวิชาการคือเอกสารจากสหรัฐ เช่น จาก CIA ทำให้ประวัติศาสตร์ไทยมีกลิ่นอายโลกทัศน์แบบสหรัฐมาก
“ซึ่งเป็นกลิ่นอายแบบเจ้าอาณานิคมประมาณหนึ่ง” วาสนากล่าว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คำว่า Siamese talk หมายถึง พูดอย่างทำอย่าง เช่น ไทยบอกว่าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น แต่พอญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยบอกว่าไม่แพ้เพราะมีเสรีไทย หรือยุคสงครามเย็น/สงครามเวียดนามก็เช่นเดียวกัน อาจมีการใช้คำว่า “ไผ่ลู่ลม” เป็นการปรับคำว่า Siamese talk ให้ดูดีขึ้นแต่ก็คือคำเดียวกัน เป็นความรู้สึกที่ว่า “ประเทศเธอเป็นแบบนี้อีกแล้วนะ เข้าร่วมสงครามกับใคร เป็นพันธมิตรกับใคร คนอื่นเขาแพ้แต่เธอก็ชนะ”
ในทัศนะของนักวิชาการรายนี้ นี่คือทัศนคติแบบเจ้าอาณานิคม จริงๆ แล้วประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่เพราะต้องการให้ญี่ปุ่นชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยเข้าเป็นพันธมิตรกับสหรัฐในสงครามเย็นไม่ใช่เพื่อให้สหรัฐชนะสงครามเวียดนาม
“ประเทศไทยดำเนินนโยบายต่างประเทศของตัวเองเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนของตนเอง ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา ที่เราเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นแล้วญี่ปุ่นต้องชนะสงคราม ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเราที่เราเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ แล้วสหรัฐต้องชนะสงครามเวียดนาม” การพูดแบบไทยก็คือการพูดเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศตนเอง
- การสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน
หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐเข้ามาวุ่นวายกับความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเข้มข้น ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ เช่น นิตยสารเสรีภาพตีพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทำให้เห็นว่าจีนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงร้ายแรงที่สุดของไทย
ด้วยอิทธิพลของสหรัฐทำให้ไทยต้องเข้าไปร่วมในความขัดแย้งยุคสงครามเย็นในฝ่ายเดียวกับสหรัฐ เช่น สงครามเกาหลี จอมพล ป. พิบูลสงครามเพิ่งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ อยากแสดงให้เห็นว่า ไทยต่อต้านคอมมิวนิสต์จริงๆ จึงต้องส่งกำลังทหารไปสนับสนุนกองกำลังสหประชาชาตินำโดยสหรัฐในสงครามเกาหลี คำอธิบายของการไปรบกับประเทศที่ห่างไกลโดยที่ไทยไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์มากมายมาก่อนหน้านั้นคือ
“เพราะภัยคอมมิวนิสต์จากจีนร้ายแรงมาก ถ้าเราไม่ไปสู้กับจีนที่คาบสมุทรเกาหลี ถ้าคาบสมุทรเกาหลีตกเป็นของคอมมิวนิสต์เป้าหมายต่อไปก็ต้องเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน ดังนั้นเราต้องรีบไปรบกับจีน” วาสนากล่าว
ในเวลานั้นสหรัฐสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์จีนมาโดยตลอดจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามเวียดนาม แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนแต่เห็นได้ว่า จอมพล ป.ที่ใช้การทูตใต้ดินกับจีนในปี 1955 ถูกรัฐประหารในปี 1957 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่ขึ้นมาแทนได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอย่างเต็มที่ และเป็นรัฐบาลที่สะบั้นสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างสิ้นเชิง
- เปิดสัมพันธ์จีนเพื่อผลประโยชน์ใคร
(ภาพจากเพจ New Silk Road)
หลายคนมองว่า การที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปจับมือกับเหมา เจ๋อตงในปี 1975 เป็นภาคต่อจากประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันของสหรัฐจับมือกับเหมาในปี 1972 เป็นการเปลี่ยนค่ายย้ายขั้วตามสหรัฐ สาเหตุที่นิกสันไปจับมือเหมาคืออยากถอนทหารจากเวียดนาม และถอนออกไปได้จริงในปี 1975 ดังนั้นไทยจึงต้องไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งวาสนามองว่าคำอธิบายนี้ ฟังดูประหลาด “ทำไมไทยต้องไปสถาปนาความสัมพันธ์จีนเพื่อผลประโยชน์ของอเมริกา?”
วาสนาอธิบายว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ไทยทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ของไทยเอง
1. การสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนทำให้ไทยชนะสงครามเย็นอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะเท่ากับว่าจีนเมื่อมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทยแล้วจะเลิกสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)
2. การอำนวยความสะดวกให้สหรัฐถอนทหารจากเวียดนาม เท่ากับว่าสหรัฐต้องถอนทหารจากไทยด้วย ซึ่งจะช่วยลดความเจ้ากี้เจ้าการของสหรัฐต่อนโยบายต่างประเทศไทยนั่นย่อมเป็นเรื่องดี ทั้งยังนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านให้ดีขึ้นหลังสงครามเย็นสิ้นสุด ถ้ายังมีฐานทัพสหรัฐอยู่ในไทยการจะไปพูดคุยกับเพื่อนบ้านที่อยู่ในค่ายคอมมิวนิสต์ก็คงจะยาก
3. เพื่อเริ่มความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับจีนซึ่งมีศักยภาพทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
“การสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนก็เป็นผลดีกับไทยอย่างมาก การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นการพาไทยออกมาจากยุคสมัยที่ถูกครอบงำทางการต่างประเทศจากสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้น”
- จีนก็ได้ประโยชน์จากไทย
วาสนากล่าวต่อไปว่า การที่จีนจับมือกับสหรัฐทำให้จีนออกห่างจากอิทธิพลของสหภาพโซเวียต การสถาปนความสัมพันธ์กับไทยในปี 1975 ช่วยให้จีนได้ขยายเครือข่ายความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนั้นปี 1976 เหมาถึงแก่อสัญกรรม เติ้ง เสี่ยวผิงขึ้นเป็นผู้นำประกาศนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ
ปี 1978 เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดของจีนเดินทางเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป้าหมายแรกคือกรุงเทพฯ การเยือนไทยเป็นประโยชน์กับจีนมากในแง่ที่ว่า ในการปฏิรูปและเปิดประเทศของเติ้ง เสี่ยวผิง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ จีนอยากเปิดเข้าสู่ตลาดโลก แต่การจะทำให้สหรัฐที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกเชื่อว่า จีนจะปฏิรูปจริงๆ แม้เป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์กับไทยซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- เติ้ง เสี่ยวผิงมาไทยสุดปัง!
เติ้ง เสี่ยวผิง มาเยือนไทยได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ขณะดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงผนวช เติ้ง เสี่ยวผิงร่วมพิธีที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย
"มีรูปเติ้ง เสี่ยวผิงยืนพนมมืออยู่ในวัดพระแก้ว ลงหนังสือพิมพ์ทั่วโลก มหัศจรรย์พันลึกมาก! แปลว่าผู้นำสูงสุดของประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีประชากรมากที่สุดในโลกไม่มีปัญหากับสถาบันกษัตริย์ ไม่มีปัญหากับพุทธเถรวาท เราไม่เป็นภัยคอมมิวนิสต์อีกต่อไป เราพร้อมอย่างยิ่งที่จะเข้าสู่ตลาดโลกกับสหรัฐอเมริกา" วาสนากล่าวถึงเติ้ง เสี่ยวผิงและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนี่เป็นรากฐานสำคัญทำให้จีนได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจจากสหรัฐ หลังจากมาไทยในเดือน พ.ย.1978 ปลายเดือน ธ.ค.ปีเดียวกัน เติ้ง เสี่ยวผิงไปสหรัฐ ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ วันที่ 1 ม.ค.1979 ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานสำคัญให้กับนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศของเติ้ง เสี่ยวผิงในเวลาต่อมา และเป็นรากฐานความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงปัจจุบัน
“50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน คือครึ่งศตวรรษของความสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้บงการมหาอำนาจภายนอก และนี่คือการพาประวัติศาสตร์สงครามเย็นของไทยออกจากความเป็นอาณานิคมโดยเริ่มต้นจากการสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ 1 กรกฎาคม 1975” วาสนาสรุป







