FTA ‘อังกฤษ-อินเดีย’ เปิดตลาดแดนภารตะ | กันต์ เอี่ยมอินทรา

ในที่สุด อังกฤษ-อินเดีย ก็บรรลุข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกันในวันอังคาร (6 พ.ค.) ที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศค้าขายสะดวกมากขึ้น และส่งเสริมการนำเข้า-ส่งออกระหว่างกัน
ในที่สุด อังกฤษ-อินเดีย ก็ตกลงดีลสัญญาการค้า (FTA) ระหว่างกันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ซึ่งจริงๆ อังกฤษเริ่มหาคู่ค้าใหม่ๆ ตั้งแต่เริ่มกระบวนการแยกตัวจากยุโรป หรือ Brexit และเมื่อเป็นการแยกตัวสำเร็จในปี 2020 และหลังจากนั้น 2 ปี อังกฤษและอินเดียก็เริ่มหารือต่อรองอย่างจริงจัง แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร จนกระทั่งนายกฯ ของทั้งสองประเทศเจอกันอีกครั้งในงานประชุม G20 ที่บราซิลเมื่อปลายปีก่อน ที่เริ่มเร่งเครื่องเต็มสูบจนได้มาซึ่ง FTA ในวันนี้
หากจะเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและอินเดีย ก็คงสามารถเทียบได้กับความรักที่ทั้งหวานและขม เพราะทั้งสองประเทศต่างก็มีประวัติศาสตร์ที่ร่วมกันตั้งแต่สมัยอาณานิคมเดิม ทั้งด้านดีคือความเจริญ ระบบสาธารณูปโภค ระบอบการเมือง ที่อังกฤษส่งมอบให้ ขณะที่อีกมุมหนึ่งก็คือการขูดรีดทรัพยากร การเอาเปรียบกดขี่ และการมอบระเบิดเวลาเกี่ยวกับปัญหาชายแดน กับประเทศเพื่อนบ้านที่ขณะนี้เป็นประเด็นอยู่
FTA อังกฤษ-อินเดียนี้ จะสร้างมูลค่าทางการค้าระหว่างกันสูงถึง 25,500 ล้านปอนด์ จากเดิมที่ค้าขายกันอยู่ที่ 60,000 ล้านปอนด์ และประมาณการว่าตัวเลขจะดีดขึ้นไปสูงถึง 120,000 ล้านปอนด์ภายในปี 2030 โดยข้อตกลงนี้จะช่วยกระตุ้นให้ GDP ของอังกฤษเพิ่มขึ้นกว่า 4,800 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
FTA นี้จะเริ่มทลายกำแพงภาษีสินค้า ภายในระยะเวลาตามตกลง และในที่สุดสินค้าส่วนใหญ่ที่ค้าขายระหว่างกันจะปลอดภาษี จะช่วยเหลือผ่องถ่ายเทคโนโลยีระหว่างกันผ่านทางการลดภาษีการนำเข้าเครื่องจักร FTA นี้ยังส่งเสริมอุตสาหกรรมบริการอื่นๆ อาทิ การเงิน การศึกษา IT และยังช่วยให้การจ้างงานของพลเมืองระหว่างสองประเทศง่ายและประหยัดขึ้น
สิ่งที่อังกฤษจะได้ประโยชน์จาก FTA นี้คือ ของนำเข้าจากอินเดียจะถูกลง โดยเฉพาะเสื้อผ้ารองเท้าเครื่องนุ่งห่ม อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้งแช่แข็ง ทั้งนี้ยังไม่รวมการส่งออกสินค้าหลักของอังกฤษที่ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าราคาแพง อาทิ วิสกี้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดตลาดขนาดใหญ่สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่สัญชาติอังกฤษในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การเงินการธนาคาร การขนส่งสินค้า
อินเดียได้มีโอกาสเพิ่มขึ้นในการส่งออกสินค้าที่พึ่งพิงแรงงานอย่างมากด้วยอัตราภาษีที่ต่ำลงเรื่อยๆ และกลายเป็น 0 ภายในระยะเวลาสิบปี อาทิ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อาหารทะเลแปรรูป สินค้าเครื่องหนัง อุปกรณ์กีฬาและของเล่นเด็ก อัญมณี อุปกรณ์ชิ้นส่วนเครื่องจักรและรถยนต์ ผลิตภัณฑ์เคมี และโอกาสการจ้างงานคนอินเดีย อาทิ ครูสอนโยคะ เชฟ เป็นต้น
ทั้งหมดทั้งมวลคือ ภาพรวมโอกาสที่สองประเทศจะได้รับ เช่นเดียวกับไทย หากเรารีบเร่งทำ FTA กับนานาประเทศให้เสร็จทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินการณ์ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยและสงครามการค้าที่ยังไม่เห็นทางออก







