โซลาร์จีนอ่วม! 7 ผู้ผลิตรายใหญ่พลิก 'ขาดทุน' เซ่นอุปทานล้นตลาด

7 ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์จีนรายใหญ่พลิก ‘ขาดทุน’ ครั้งแรกในรอบ 7 ปี กว่า 1.2 แสนล้านบาท เซ่นพิษการผลิตล้นตลาดจนแซงความต้องการในอีก 10 ปีข้างหน้า
สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า ในปีที่ผ่านมา “7 ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่” ของจีนบันทึกการ “ขาดทุนสุทธิ” รวมกันเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี กว่า 27,000 ล้านหยวน หรือราว 1.2 แสนล้านบาท เนื่องจากการลงทุนมหาศาลในการผลิตใหม่ทำให้ปริมาณอุปทานสูงเกินกว่าความต้องการของตลาด
บริษัทจีนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลก โดยครองสัดส่วนกำลังการผลิตมากกว่า 80% ตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ซิลิคอน เวเฟอร์ ไปจนถึงเซลล์และแผงโซลาร์เซลล์ นอกจากนี้ ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่ที่สุด 9 อันดับแรกของโลกเมื่อวัดจากปริมาณการผลิตล้วนเป็นบริษัทสัญชาติจีน
เมื่อปี 2566 กลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่เหล่านี้สามารถทำกำไรรวมกันได้ 41,800 ล้านหยวน แต่ในปีที่ผ่านมาสถานการณ์กลับตาลปัตร เพราะบริษัท 5 ใน 7 แห่งประสบภาวะ “ขาดทุน” หนึ่งในนั้นคือ LONGi Green Energy Technology ซึ่งเป็นผู้เล่นเบอร์ 2 ของตลาด ส่วนอีก 2 บริษัทที่เหลือ ถึงแม้จะไม่ขาดทุน แต่ผลประกอบการก็ย่ำแย่ลงมาก ตัวอย่างเช่น Jinko Solar ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 กำไรลดฮวบไปถึง 98%
ภาวะตลาดที่ตกต่ำอย่างหนักส่งผลให้บริษัท LONGi ที่มีกำหนดจะเปิดโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์แห่งใหม่ทางตะวันออกของจีน ได้ตัดสินใจเลื่อนกำหนดการเปิดดำเนินการดังกล่าวออกไปเป็นช่วงกลางปี 2569
กำลังผลิตโซลาร์ แซงความต้องการในอีก 10 ปีข้างหน้า
กระแสทั่วโลกที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ประกอบกับนโยบายของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่สนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้เป็นแรงผลักดันให้ผู้ผลิตโซลาร์เซลล์จีนทุ่มงบประมาณก้อนโตเพื่อขยายกำลังการผลิตอย่างเต็มที่ แต่การเร่งผลิตมากเกินไปนี้เองที่ย้อนกลับมาสร้างปัญหา ทำให้เกิดภาวะ “อุปทานล้นตลาด” ส่งผลให้ตลาดโดยรวมซบเซา และเป็นสาเหตุสำคัญของการขาดทุนที่เกิดขึ้น
โคโคนะ โอตะ นักวิเคราะห์จาก BloombergNEF อธิบายว่าสถานการณ์อุปทานล้นตลาดจนผู้ผลิตขาดทุน เกิดขึ้นจากบริษัทต่างๆ ได้ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อขยายกำลังการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทำให้การเติบโตของอุปทานสูงกว่าการเติบโตของอุปสงค์มาก ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ ราคาแผงโซลาร์เซลล์ดิ่งลงอย่างหนัก โดยเมื่อสิ้นปี 2567 ราคาถูกกว่าช่วงต้นปี 2566 ถึงเกือบ 70%
สำหรับแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดในระยะสั้นยังคงดูมืดมน แม้ว่า BloombergNEF จะคาดการณ์ว่าความต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ใหม่ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 993 กิกะวัตต์ในปี 2578 ก็ตาม แต่สถานการณ์ปัจจุบันน่ากังวลกว่านั้นมาก เนื่องจากกำลังการผลิตในตอนนี้ได้พุ่งสูงแซงหน้าตัวเลขคาดการณ์ความต้องการในอีก 10 ปีข้างหน้าไปแล้ว โดยแตะระดับถึง 1,446 กิกะวัตต์ตั้งแต่สิ้นปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงภาวะอุปทานล้นตลาดอย่างรุนแรง
ทั่วโลกรับมือ ‘จีน’ ส่งออกเงินฝืด
ในปี 2566 สี จิ้นผิงและรัฐบาลให้การสนับสนุนการพัฒนา “กำลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพ” ได้แก่ แผงโซลาร์เซลล์ ยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในสาขาที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์
แม้ว่าจีนจะมีสัดส่วนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ใหม่มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก แต่จีนก็ยังไม่สามารถรองรับอุปทานใหม่ได้ทั้งหมด ทำให้จีนต้องขายแผงโซลาร์เซลล์ส่วนเกินออกไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ระหว่างปี 2563 ถึง 2567 เป็นมูลค่า 30,600 ล้านดอลลาร์
จีนกำลังเผชิญข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ "ส่งออกภาวะเงินฝืด" สู่ตลาดโลก ซึ่งหมายถึงการที่จีนนำสินค้าที่ผลิตได้เกินความต้องการในประเทศ เช่น เหล็กและรถยนต์ไฟฟ้า ไปจำหน่ายในต่างประเทศด้วยราคาที่ต่ำมากเพื่อระบายสินค้า ปรากฏการณ์นี้กำลังสร้างความตึงเครียดในลักษณะเดียวกันกับอุตสาหกรรมแผงโซลาร์เซลล์ ที่จีนมีกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมหาศาลเช่นกัน
ด้วยความกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สภาการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แห่งยุโรปได้ยื่นจดหมายถึง “เออร์ซูลา ฟอน แดร์ เลเยน” ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเรียกร้องให้สหภาพยุโรปออกมาตรการป้องกันทางการค้าที่เหมาะสมและทันท่วงที เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ภายในภูมิภาคยุโรป
อ้างอิง Nikkei







