'แบงก์ชาติจีน' ประกาศลดดอกเบี้ย หั่น RRR อีก 0.5% กระตุ้นเศรษฐกิจ

'จีน' หั่นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.1% และลดการกันสำรองแบงก์พาณิชย์ 0.5% ปล่อยสภาพคล่องเข้าระบบ 1 ล้านล้านหยวน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังเพิ่งมีข่าวเตรียมเจรจากับสหรัฐ
ในวันนี้ (7 พ.ค.68) ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศหั่นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.10% พร้อมลดการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.50% โดยนับเป็นการผ่อนคลายทางการเงินครั้งใหญ่ของหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงิน เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ามกลางความกังวลด้านสงครามการค้า
พาน กงเซิ่ง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน แถลงว่า จีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วันลง 10 bsp จาก 1.5% ลงมาอยู่ที่ 1.4% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลักของจีน ลดลงประมาณ 10 bsp
ธนาคารกลางยังลดสัดส่วนเงินสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ลง 50 bsp ซึ่งจะส่งผลให้มีสภาพคล่องเพิ่มเติมในระบบอีก 1 ล้านล้านหยวน (ราว 4.5 ล้านล้านบาท)
นอกจากมาตรการข้างต้นแล้ว หน่วยงานด้านการเงินของจีนยังประกาศมาตรการกระตุ้นทางการเงินอื่นๆ รวมประมาณ 10 มาตรการ มีดังนี้
- ลดดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วัน (ดอกเบี้ยอ้างอิงหลัก) ลง 0.10% เหลือ 1.4%
- ลดการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (RRR) ของธนาคารพาณิชย์ 0.50% เพิ่มสภาพคล่อง 1 ล้านล้านหยวน (ราว 4.5 ล้านล้านบาท)
- ลด RRR ของบริษัทสินเชื่อรถยนต์และลีสซิ่ง เหลือ 0% จากเดิม 5%
- ลดดอกเบี้ย Re-lending ผู้ให้สินเชื่อเชิงพาณิชย์ และสินเชื่อแบบมีข้อผูกมัดแก่ธนาคารเฉพาะกิจ (policy banks) 0.25 จุดเปอร์เซนต์
- 5. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่อยู่อาศัย 0.25 จุดเปอร์เซ็นต์
- เพิ่มโควตาสินเชื่อ Re-lending ด้านเทคโนโลยี อีก 300,000 ล้านหยวน เป็น 800,000 ล้านหยวน เพื่อสนับสนุนโครงการแลกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค
- เปิดโครงการสินเชื่อ Re-lending วงเงิน 500,000 ล้านหยวน เพื่อสนับสนุนการบริโภคในภาคบริการและการดูแลผู้สูงอายุ
- ขยายวงเงินสินเชื่อ Re-lending เพื่อภาคเกษตรกรรม และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มขึ้น 300,000 ล้านหยวน
- รวม 2 โครงการสนับสนุนตลาดหุ้น ซึ่งมีวงเงินรวมกัน 800,000 ล้านหยวน เข้าด้วยกัน
- เปิดโครงการกระจายความเสี่ยงหนี้ โดยธนาคารกลางจีนสามารถให้สินเชื่อ Re-lending ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสนับสนุนการซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเทคโนโลยี
การแถลงข่าวร่วมกันระหว่างธนาคารกลางจีน, สำนักงานกำกับดูแลด้านการเงินแห่งชาติจีน (NFRA) และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) มีขึ้นตามมาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รัฐบาลปักกิ่งยืนยันว่า รองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง ของจีน จะพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ สก็อตต์ เบสเซนต์ ที่สวิตเซอร์แลนด์ ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ เพื่อหารือเรื่องภาษีศุลกากร และการค้า ซึ่งถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายอาจเริ่มเจรจากันได้
การเจรจาดังกล่าวจะเป็นการเจรจาการค้าครั้งแรกที่ได้รับการยืนยันระหว่างสหรัฐกับจีน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 145% ส่งผลให้ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มเติมอีกเป็น 125%
การเจรจาที่วางแผนไว้ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนในสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาด และการค้าระหว่างสองเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก
เศรษฐกิจจีนเองกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาษีศุลกากรสหรัฐ โดยข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วบ่งชี้ว่า กิจกรรมภาคโรงงานของจีนในเดือนเม.ย. "หดตัวลง" ในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 16 เดือน สร้างความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบภาษีศุลกากรที่มีต่อตลาดงานและแรงกดดันด้านภาวะเงินฝืดในจีนที่รุนแรงอยู่แล้ว เนื่องจากผู้ส่งออกสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐ
เสริมแกร่งก่อนค่อยไปคุย
ซิง จ้าวเผิง นักกลยุทธ์อาวุโสด้านจีนจากธนาคาร ANZ กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่ของจีนเมื่อวันพุธว่า "เศรษฐกิจในประเทศต้องแข็งแกร่งเพียงพอ ก่อนที่ (จีน) จะเริ่มการเจรจาการค้าที่ยืดเยื้อใดๆ"
ทางด้านตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงทั้งดัชนีซีเอสไอ 300 ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต และดัชนีฮั่งเส็ง ต่างปิดตลาดในแดนบวกกันถ้วนหน้าเมื่อวันพุธ โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,342.67 จุด เพิ่มขึ้น 26.55 จุด หรือปวก 0.80% และดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 22,691.88 จุด เพิ่มขึ้น 29.17 จุด หรือบวก 0.13%
ด้านนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ประบุว่า "ผลกระทบจากภาษีศุลกากรเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว" และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอาจเป็น "เชิงกลยุทธ์" ก่อนการเจรจาการค้ากับสหรัฐจะเริ่มขึ้น โดยมองว่า "การสนับสนุนภายในประเทศในเวลาที่เหมาะสม อาจสร้างอิทธิพลมากขึ้นสำหรับจีน"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







