‘นักศึกษาอินเดีย’ เบนเข็มหนีสหรัฐ กังวลแผนปราบผู้อพยพ

ที่ผ่านมาสหรัฐเป็นประเทศแรกๆ ที่นักเรียนชาวอินเดียเลือกเดินทางไปศึกษาต่อ จนกระทั่งเกิดกระแสเพิกถอนวีซ่า ตอนนี้นักศึกษาหลายคนได้เบนเข็มไปยังจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยกว่า เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และอังกฤษ และอาจทำให้หสรัฐสูญรายได้ทางการศึกษาจากเด็กอินเดียที่เก่ง ฉลาด และร่ำรวย
การปราบปรามผู้อพยพอย่างเข้มงวดของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อการวางแผนศึกษาต่อในสหรัฐของนักเรียนชาวอินเดียอย่างมาก หลายคนเล็งเปลี่ยนไปเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศอื่นที่มีสภาพแวดล้อมทางการเมืองและการย้ายถิ่นฐานที่เป็นมิตรกว่า ซึ่งเสี่ยงทำให้สหรัฐเสียรายได้หลักพันล้านดอลลาร์ หากสูญเสียนักเรียนนักศึกษาที่ฉลาดและร่ำรวยจากอินเดีย
ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐได้ดำเนินการเนรเทศและเพิกถอนวีซ่านักศึกษาต่างชาติโดยพลการ และคุกคามเงินทุนสนับสนุนมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง
กรณีที่เป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดคือ กรณีของรันจานี ศรีนิวาสัน นักศึกษาชาวอินเดียซึ่งเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลฟูลไบรท์ (Fulbright scholarship) ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก เธอต้องหลบหนีไปแคนาดาในเดือนมี.ค. หลังจากถูกเพิกถอนวีซ่า เนื่องจากเธอถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์อย่างฮามาส ขณะที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิยังไม่ได้เผยหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้างดังกล่าว
อีกกรณีคือ กรณีของบาดาร์ ข่าน ซูรี นักวิจัยหลังปริญญาเอกชาวอินเดียจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในวอชิงตัน ถูกควบคุมตัวเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์และสนับสนุนกลุ่มฮามาสเช่นกัน แม้ทนายความกล่าวว่าซูรีไม่เคยแสดงความคิดเห็นสนับสนุนฮามาสหรือต่อต้านชาวยิวเลย
นักเรียนลด เสี่ยงสูญรายได้
การเพิกถอนวีซ่านักเรียนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค. ทำให้เกิดความกังวลในวงการวิชาการมากขึ้น โดยรายงานล่าสุดของสมาคมทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานอเมริกันเผยว่า 50% ของการเพิกถอนวีซ่าส่งผลกระทบต่อนักเรียนนักศึกษาชาวอินเดียจำนวนมาก
ที่ปรึกษาด้านการศึกษาและหน่วยงานวีซ่าอินเดีย กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อการตัดสินใจของนักเรียนเกี่ยวกับการเรียนต่อในสหรัฐอย่างมาก
ภาวนา คาปูร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด สถาบันเอ็กเน็ตคอนซัลแทนต์ส (EdNet Consultants) บริษัทที่ปรึกษาด้านการศึกษาในกรุงนิวเดลี กล่าว “เราพบว่าจำนวนนักเรียนชาวอินเดียที่ไปเรียนในสหรัฐลดลง 15% ถึง 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว” และว่าที่ผ่านมาสหรัฐเป็นประเทศแรกๆ ที่นักเรียนชาวอินเดียเลือกเดินทางไปศึกษาต่อ จนกระทั่งเกิดกระแสเพิกถอนวีซ่า ตอนนี้นักศึกษาหลายคนได้เบนเข็มไปยังจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยกว่า เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และอังกฤษ ซึ่งกลายเป็นประเทศทางเลือกอันดับต้นๆ ของนักศึกษาอินเดียไปแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ สหรัฐจะมีความเสี่ยงศูนย์เสียตำแหน่งจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับการเลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของนักเรียนในอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งนักศึกษาไปเรียนในสหรัฐมากที่สุด
รายงานของโอเพนดอร์ ปี 2567 ระบุว่า นักเรียน/นักศึกษาอินเดียครองสัดส่วน 29% ของนักเรียนต่างชาติในสหรัฐ หรือมีนักศึกษาอินเดีย 331,602 คน ในมหาวิทยาลัยสหรัฐในระหว่างปีการศึกษา 2023-2024 เพิ่มขึ้น 23% จากปีการศึกษาก่อนหน้า
นักเรียนจากอินเดียสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจอเมริกัน 8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และช่วยสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่สหรัฐจำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ของอินเดียและทรัมป์กล่าวถึงเมื่อเดือนก.พ. ระหว่างที่โมดีเยือนสหรัฐ
พักฝัน เปลี่ยนที่เรียน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าเป็นการดีกว่าที่นักศึกษาจะพักความฝันแบบอเมริกันไว้ก่อน
วีนา ศิครี อดีตเอกอัครราชทูตอินเดียประจำบังกลาเทศกล่าว "มันเป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักเรียนควรคอยดูต่อไปก่อน เดลีได้ยื่นเรื่องนี้กับวอชิงตันและแสดงความกังวลในเรื่องนี้ไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม นักเรียนบางคนไม่ได้รอดูสถานการณ์และได้เปลี่ยนแผนการศึกษาของตนเองเรียบร้อย
ไวภาพ คักการ์ นักศึกษาวัย 25 ปี จากนิวเดลี มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนต่อปริญญาโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้าในสหรัฐ แต่ได้เปลี่ยนใจแล้ว
“ผมติดตามรายงานการล่วงละเมิดนักศึกษาในสหรัฐจากโซเชียลมีเดีย พูดตรงๆ สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับผมมากนัก ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าจะเรียนที่อินเดีย ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่เคยคิดมาก่อนจนกระทั่งปีที่แล้ว” คักการ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาด้านการศึกษาเสริมว่า แม้มีความรู้สึกกังวลเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มนักศึกษา แต่ผู้ที่มีวีซ่านักเรียน F-1 ที่ถูกต้องไม่มีอะไรต้องกังวล เพียงแค่ระมัดระวังพฤติกรรมของตนเองในที่สาธารณะ
ราจัน ภาเทีย หัวหน้าฝ่ายแอดมิชชันระดับประเทศ จากสถาบันจัมโบรี เอ็ดดูเคชัน (Jamboree Education) หน่วยงานที่ปรึกษาด้านการศึกษาแห่งชาติ ที่ส่งนักศึกษามากกว่า 1,500 คนไปสหรัฐทุกปี บอกว่า “นักเรียนของเรายังไม่มีใครถูกคุกคามหรือถูกเนรเทศจนถึงตอนนี้ เหตุการณ์เหล่านั้นเกี่ยวข้องกับผู้อพยพผิดกฎหมาย หรือผู้ที่เข้าร่วมการประท้วงในประเด็นที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง”
อย่างไรก็ตามภาเทียเสริมว่า บริษัทของตนได้แนะนำเพิ่มเติมให้นักศึกษาระมัดระวังการกระทำผิดแม้แต่เรื่องเล็กน้อย เช่น การขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต การขับรถขณะเมาสุรา หรือการเมาสุราในที่สาธารณะ
“การโพสต์ข้อความยั่วยุในโซเชียลมีเดีย การรณรงค์ทางการเมือง การเข้าร่วมการชุมนุม หรือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิทธิของกลุ่ม LGBTQ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน” ภาเทียเตือน
คนในไม่กล้าออก
ขณะที่นักเรียนนักศึกษาบางคนเลื่อนแผนการเดินทางกลับอินเดียออกไปในระหว่างที่พักร้อน เนื่องจากกังวลว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับเข้าสหรัฐได้อีก
คุณแม่ชาวอินเดียที่มีลูกเรียนอยู่มหาวิทยาลัยบราวน์ในพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์บอกว่า ลูกสาวของเธอจะไม่กลับบ้านในปีนี้
"เธอบอกว่าการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เหมือนเหยียบเปลือกไข่ ปัญหาเล็กๆ ก็อาจลุกลามบานปลายได้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่างการจอดรถผิดกฎหมาย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และป้ายทะเบียนรถหมดอายุ ก็ล้วนแต่เป็นประเด็นที่มักถูกคุกคาม”
อย่างไรก็ตามแม้จะมีความคิดเห็นด้านลบ แต่ผู้เชี่ยวชาญรู้สึกว่ายังคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชาวอินเดียจะเลิกสนใจมหาวิทยาลัยในอเมริกา
อรุณ กุมาร อดีตอาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Jawaharlal Nehru บอกว่า ความสะดวกและการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยสหรัฐยังคงไม่มีใครเทียบได้ และด้วยเหตุนี้สหรัฐยังคงสามารถดึงดูดนักเรียนชาวอินเดียที่ทั้งรวยและฉลาดได้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการเตือนว่า การปราบปรามของรัฐบาลสหรัฐครั้งนี้อาจทำให้สถาบันของอเมริกาเผชิญกับจำนวนนักศึกษาและรายได้ที่ลดลง ขณะที่ตลาดการศึกษาโลกมีการแข่งขันดุเดือด







