มูดีส์เตือน 'มาเลเซีย' ภาษีทรัมป์ 'เสี่ยงฉุดอันดับเครดิต'

มูดีส์เตือน 'มาเลเซีย'  ภาษีทรัมป์ 'เสี่ยงฉุดอันดับเครดิต'

Moody's เตือนภาษีทรัมป์ เสี่ยงกระทบอันดับเครดิต 'มาเลเซีย' จากระดับหัวแถวของอาเซียนที่ A3 หวั่นกระทบต่อการเติบโตของจีดีพีและการปรับสมดุลการคลังของประเทศ

บริษัทจัดอันดับเครดิต "มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส" (Moody's) เปิดเผยว่า อันดับเครดิตของประเทศ "มาเลเซีย" เสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบอย่างมากจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปรับสมดุลทางการคลังของมาเลเซีย

คริสเตียน เดอ กุซมัน รองประธานอาวุโสของมูดีส์ กล่าวว่า มูดีส์มองเห็นความเสี่ยงด้านลบต่อการประมาณการเบื้องต้นว่าเศรษฐกิจมาเลเซียจะเติบโต 5% ในปี 2568 นี้ เนื่องจากคาดว่ามาเลเซียจะได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าโลก นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลกัวลาลัมเปอร์จะต้องจะเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากการจัดเก็บภาษีของสหรัฐ

"หากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปอย่างมาก และรัฐบาลต้องดำเนินมาตรการเพื่อชดเชยการอ่อนแรงของเศรษฐกิจโลกบางส่วน รัฐบาลอาจจะต้องชะลอหรือเลื่อนการปรับเป้าหมายการอุดหนุนน้ำมันออกไป” เดอ กุซมันกล่าว โดยอ้างถึงแผนการของรัฐบาลมาเลเซียที่จะยุติการอุดหนุนราคาน้ำมันเบนซินภายในกลางปีนี้ และกล่าวด้วยว่ามาเลเซีย “มีความเสี่ยงต่อการปรับสมดุลทางการคลัง” 

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา Moody's ได้จัดอันดับเครดิตประเทศ (sovereign rating) ของมาเลเซียในระดับ A3 มาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสามารถต้านทานผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกในปี 2551 (วิกฤติซับไพรม์) และการระบาดของโควิดมาได้ แต่ในรอบนี้มาตรการภาษีหลายระลอกของสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของมาเลเซีย

มูดีส์เองก็เพิ่งปรับลดมุมมองเครดิต (outlook) ของ "ประเทศไทย" จากมีสเถียรภาพ (Stable) ลงสู่มุมองเชิงลบ (Negative) ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากผลพวงของมาตรการภาษีสหรัฐเช่นกัน

รองประธานมูดีส์ กล่าวว่า หากไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าเม็ดเงินการใช้จ่ายเพิ่มเติมของภาครัฐจะถูกดึงกลับในระยะสั้น ก็อาจส่งผลให้เกิด “ความเสียหายบางส่วนต่อฐานะการคลังของรัฐบาลได้”

ที่ผ่านมา ความมีเสถียรภาพทางการเมืองของมาเลเซียนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม เข้ารับตำแหน่ง ได้เอื้อให้ประเทศสามารถเร่งการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการเมืองได้ หลังจากที่มีการเปลี่ยนผู้นำบ่อยครั้งในช่วงปี 2561 ถึง 2565 และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูฐานะการคลังของประเทศ

“เราต้องการเน้นย้ำว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันได้ดำเนินการมากพอ ซึ่งเป็นผลจากการกลับมามีเสถียรภาพทางการเมือง” เดอ กุซมันกล่าว

อย่างไรก็ตาม มูดีส์เตือนด้วยว่า "การจัดหารายได้" ของมาเลเซียยังคงเป็นจุดอ่อน โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญคือ การยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มแบบครอบคลุม (GST) ในปี 2561 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลในการลดการขาดดุลงบประมาณในปีนี้ให้เหลือ 3.8% ของจีดีพีประเทศ จากระดับ 4.1% ในปีที่แล้ว

"แม้ว่าสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีจะผันผวนตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ในระยะยาว แนวโน้มรายได้ลดลงมาระยะหนึ่งแล้ว” เดอ กุซมันกล่าว “เราได้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนนี้ในโครงสร้างการคลังของมาเลเซียมาระยะหนึ่งแล้ว”

ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียกำลังเตรียมปรับลดมุมมองการเติบโตของจีดีพีในปีนี้ลง เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ช้าลงในไตรมาสแรกก่อนที่จะมีการจัดเก็บภาษีนำเข้า ขณะที่มูดีส์เตรียมเผยแพร่การคาดการณ์เศรษฐกิจโลกฉบับปรับปรุงใหม่ภายในสัปดาห์นี้