ถอดบทเรียนโอกาส IP ในธีมพาร์คและสตรีมมิ่ง’ I Creative Economy

จาก ‘ภาพยนตร์’ สู่ ‘ธีมพาร์คและสตรีมมิ่ง’ ถอดบทเรียนการขยายโอกาสเงินล้าน ผ่านการใช้ลิขสิทธิ์ Intellectual Property
Intellectual Property (IP) หรือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา ถือเป็นปัจจัยสำคัญในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพยนตร์ แอนิเมชัน หรือคอนเทนต์อื่นๆ เพราะมันไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องผลงานของผู้สร้าง แต่ยังเปิดโอกาสในการสร้างรายได้จากการนำไปใช้ในทางการค้า การใช้ IP อย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถเพิ่มมูลค่าและขยายธุรกิจไปในทิศทางใหม่ๆ ได้อย่างยั่งยืน
การเริ่มต้นสร้างภาพยนตร์นั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ "การได้สิทธิ์ในเนื้อหาที่จะนำมาปรับเป็นบทภาพยนตร์" หลายครั้งที่ภาพยนตร์อาจจะดัดแปลงจากหนังสือหรือเรื่องราวที่มีอยู่แล้ว ดังนั้นการขอสิทธิ์จากเจ้าของผลงานต้นฉบับก่อนเริ่มการผลิตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากการขอสิทธิ์ในการดัดแปลงเนื้อหาแล้วการปกป้อง “ตัวละคร” และ “สคริปต์” ก็สำคัญไม่น้อย เพราะตัวละครในภาพยนตร์ไม่ได้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราว แต่สามารถกลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้มหาศาล ผ่านการขายของเล่น เสื้อผ้า หรือแม้แต่เกมที่มีตัวละครเหล่านั้น
บริษัทอย่าง Disney และ Pixar ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการใช้ IP อย่างถูกต้องสามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทได้อย่างมากมาย สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้แค่ช่วยปกป้องผลงานของพวกเขา แต่ยังช่วยสร้างรายได้จากการออกใบอนุญาต (Licensing) ให้บริษัทอื่น ๆ ได้นำ IP ไปใช้ผลิตสินค้า เช่น ของเล่น เสื้อผ้า หรือแม้แต่ธีมพาร์ค
สตูดิโอแอนิเมชันชั้นนำอย่าง Pixar และ DreamWorks ใช้ IP ในการสร้างตัวละครที่มีเสน่ห์ ซึ่งไม่เพียงแต่ปรากฏในภาพยนตร์ แต่ยังสามารถขยายไปสู่สินค้าหรือแม้แต่เกมที่ใช้ตัวละครเหล่านั้น
ตัวอย่างที่เด่นชัดก็คือ Toy Story ซึ่งตัวละครอย่าง Buzz Lightyear ไม่ได้มีแค่ในภาพยนตร์ แต่ยังปรากฏในของเล่นและสินค้าหลายประเภทที่ทำรายได้มหาศาล
นอกจากตัวละครที่เป็นสินทรัพย์แล้ว เทคโนโลยีที่ Pixar ใช้ในการสร้างภาพยนตร์ เช่น Renderman ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับการปกป้องด้วยสิทธิ์ทางปัญญา ซึ่งช่วยให้สตูดิโอแอนิเมชันสามารถพัฒนาและรักษาคุณภาพของงานที่ทำออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขจากปี 2024 แสดงให้เห็นว่า Pixar มีรายได้รวมจากภาพยนตร์และสินค้าผ่าน Licensing รวมกันมากกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงความสำคัญของการใช้ IP ในการขยายธุรกิจ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้จาก IP คือการสร้าง "แฟนด้อม" ในกลุ่มผู้ชม
ปัจจุบันแฟนๆ ของภาพยนตร์หรือการ์ตูนไม่เพียงแค่ซื้อสินค้าหรือชมภาพยนตร์เท่านั้น แต่พวกเขาต้องการมีส่วนร่วมในโลกของคาแรคเตอร์ที่ชื่นชอบการมีแฟนด้อมที่แข็งแกร่งทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดแฟนๆ ที่มีลักษณะเฉพาะและเรื่องราวที่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของผู้ชม
ตัวอย่างเช่น Harry Potter หรือ Star Wars ที่แม้ภาพยนตร์จะจบไปแล้ว แฟนๆ ก็ยังคงสนับสนุนการซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง การสร้างตัวละครใหม่ ๆ เช่น Grogu หรือ Baby Yoda จาก The Mandalorian ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยขยายฐานแฟน ๆ โดยเฉพาะกลุ่มแฟนผู้หญิง ซึ่งเดิมทีฐานแฟนๆ ของ Star Wars มีความหลากหลายทางเพศและอายุที่น้อยกว่านี้
การขยายแฟรนไชส์ Star Wars ยังไม่หยุดแค่ในภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังขยายไปยังหลายแพลตฟอร์ม เช่น การเปิดพื้นที่ Star Wars ในสวนสนุก Disneyland และการใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Disney+ ในการขยายการเข้าถึงแฟรนไชส์ไปยังผู้ชมทั่วโลก
สิ่งนี้ช่วยให้เกิดรายได้จากการสมัครสมาชิกและสร้างโอกาสในการขยายตลาดใหม่ๆ ตัวอย่างนี้จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีว่า การใช้ IP ในการขยายธุรกิจสามารถสร้างรายได้มหาศาล โดยในปี 2024 Star Wars ทำเงินแตะ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้ว่าการใช้ IP จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมี “ความท้าทาย” ในการจัดการ เช่น การรักษาสิทธิ์และปกป้องไม่ให้มีการละเมิด รวมถึงการควบคุมการใช้ IP ในหลายๆ สินค้าที่อาจทำให้มูลค่าของมันลดลงได้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนจำกัดหรือการจำหน่ายในระยะเวลาจำกัดเป็นทางออกในการช่วยรักษาความพิเศษของ IP และกระตุ้นความต้องการจากแฟนๆ ได้







