โรงงานนิวเคลียร์ 'เวียดนาม' พูดง่ายกว่าทำ? เสี่ยงเกิดทุจริต ล้มเหลวซ้ำรอยเดิม

‘เวียดนาม’ ฟื้นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เสริมมั่นคงงพลังงาน แต่อาจพูดง่ายกว่าทำ เพราะโครงการมูลค่ามหาศาล เสี่ยงเกิด ‘ทุจริต’ หวั่นจุดจบล้มเหลวซ้ำรอยเดิม
KEY
POINTS
- ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์เวียดนามเสนอให้มีการสร้าง 'โรงไฟฟ้านิวเคลียร์' ตามร่างแก้ไข PDP8 คาดใช้เม็ดเงินลงทุนสูงลิ่ว เช่นเตาปฏิกรณ์ขนาดใหญ่ 1,600 เมกะวัตต์จากฝรั่งเศสมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ เกือบเท่า 3% ของ GDP
- ในมิติ 'การเมือง' พลังงานนิวเคลียร์จะสำเร็จหรือไม่ เพราะต้องใช้เวลายาวนานกว่า 15 ปี หรือนานกว่านั้นเพราะความกังวลเรื่อง 'ทุจริต' ใน 2 หน่วยงานหลักที่ดูแลโครงการนี้
- หวั่นจุดจบเสี่ยงซ้ำรอยเดิม เมื่อย้อนไปปี 2019 โรงไฟฟ้านินห์ถ่วนต้องถูกระงับไว้เพราะใช้เม็ดเงินมหาศาล ท่ามกลางโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากมายที่เวียดนามกำลังเดินหน้า
- สิ่งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ทันทีเพียงเพราะผู้นำประกาศว่า "เวียดนามจะต้องมีพลังงานนิวเคลียร์" แต่รัฐบาลต้องจริงจังกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่ใช่ด้านเทคโนโลยี
รัฐบาล “เวียดนาม” เห็นพ้องต้องกันที่จะให้ประเทศกลับมาพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ นำไปสู่การรื้อฟื้นโครงการพลังงานนิวเคลียร์ "นินห์ถ่วน" อีกครั้ง หลังจากที่โครงการนี้ถูกระงับไปตั้งแต่ปี 2559 เพื่อค้ำประกันอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศในด้านความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว
แต่ทว่า การสรุปว่า พลังงานนิวเคลียร์ คือทางออกที่ชัดเจน โดยยังไม่ได้พิจารณาถึง "ความเป็นไปได้ในทางการเมือง" อย่างรอบด้านนั้น ถือเป็นการด่วนสรุปเกินไปถ้ายังไม่มีการหารือกันอย่างจริงจังเท่าที่ควร
ทำไมต้องใช้พลังงาน ‘นิวเคลียร์’
เวียดนามตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไว้ที่ 8% ภายในปี 2568 และคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าต่อปีจะเพิ่มขึ้นราว 12-13% ในช่วงระหว่างปี 2568 ถึง 2573 จากปัจจุบัน เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้เวียดนามจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ได้ถึง 2 เท่าภายในปี 2573 และเพิ่มเป็น 5 เท่าภายในปี 2593 ตามที่ระบุไว้ในแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้าแห่งชาติ (PDP8)
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ของเวียดนามเสนอให้มีการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อย่างน้อยหนึ่งแห่ง ที่เริ่มดำเนินการได้ในระหว่างปี 2574 - 2578 ตามร่างแก้ไขฉบับปรับปรุงใหม่ของแผนพัฒนาพลังงานฉบับที่ 8
ร่างแก้ไขฯ ได้ระบุถึงสถานการณ์การพัฒนาพลังงานสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ "นินห์ถ่วน 1" (Ninh Thuan I) ซึ่งมีเครื่องปฏิกรณ์ 2 เครื่อง โดยมีกำลังการผลิตเครื่องละ 1,200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเดินเครื่องได้ในระหว่างปี 2031 - 2035 ในขณะที่ "โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นินห์ถ่วน 2" ซึ่งมีเครื่องปฏิกรณ์ 2 เครื่องเช่นกัน คาดว่าจะเดินเครื่องได้ในปี 2036 - 2040 เป็นอย่างช้า
ก่อนหน้านี้แผนพลังงานของเวียดนามเน้นพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน โดยตั้งเป้าให้มีสัดส่วนเกือบ 30% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี 2573 และมากกว่า 60% ภายในปี 2593 แต่พลังงานหมุนเวียนในเวียดนามยังคงมีข้อจำกัด เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ส่วนพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอตลอด 24 ชั่วโมง
เมื่อมองถึงข้อจำกัดและความเสี่ยงต่างๆ พลังงานนิวเคลียร์จึงกลายเป็นทางเลือกที่ดูเหมือนจะตอบโจทย์ปัญหาพลังงานของเวียดนามได้ เนื่องจากสามารถผลิตเชื้อเพลิงได้อีกมหาศาล มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่ค่อนข้างต่ำและมีเสถียรภาพ โดยข้อมูลระบุว่ายูเรเนียมเพียง 1 กิโลกรัม สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าถ่านหินถึงประมาณ 20,000 เท่า
2 ความท้าทายของโครงการนี้
เมื่อมองในมิติทางการเมืองพลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นประเด็นที่ “ซับซ้อน” คำถามสำคัญประการแรกคือ ความมุ่งมั่นทางการเมืองของเวียดนามที่จะเดินหน้าโครงการนี้มีความแข็งแกร่งและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่?
จุดจบโรงไฟฟ้า 'นินห์ถ่วน' เสี่ยงซ้ำรอยเดิม
คำถามสำคัญต่อมาก็คือ มีหลักประกันอะไรที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า พลังงานนิวเคลียร์จะยังคงเป็นนโยบายที่เวียดนามให้ความสำคัญสูงสุด อย่างต่อเนื่องในระยะยาว?
อย่าลืมว่าเวียดนามยังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่อื่นๆ ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลรออยู่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ โครงการรถไฟความเร็วสูงสายเหนือ-ใต้ ที่คาดว่าจะใช้งบสูงถึง 67,340 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังมีความต้องการงบประมาณเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานส่วนอื่นๆ, อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และระบบท่าเรืออีกด้วย
ในขณะเดียวกัน เม็ดเงินลงทุนสำหรับพลังงานนิวเคลียร์เองก็สูงลิ่ว เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดใหญ่ 1,600 เมกะวัตต์จากฝรั่งเศส อาจมีราคาสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ส ซึ่งเทียบเท่ากับ เกือบ 3% ของ GDP ทั้งประเทศของเวียดนามในปี 2566
ยิ่งไปกว่านั้น หากเริ่มโครงการนิวเคลียร์ทันทีวันนี้ เตาปฏิกรณ์เครื่องแรกก็อาจจะยังไม่สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้เต็มรูปแบบจนกว่าจะถึงราวปี 2583 ซึ่งในระหว่างช่วงเวลาเกือบ 15 ปีอันยาวนานนี้ สภาพแวดล้อมทางการเมืองทั้งภายในประเทศและระดับโลกอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ก่อนหน้านี้เวียดนามเคยมีบทเรียนเตือนใจเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ที่นินห์ถ่วนที่ถูกระงับเพราะ เนื่องจากต้อง "จัดลำดับความสำคัญด้านงบประมาณ" ให้โครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่นก่อน ดังนั้นหากไม่มีการกำหนดทิศทางและลำดับความสำคัญที่ชัดเจน เป็นไปได้ว่าการื้อฟื้นโครงการนี้อาจมีจุดจบซ้ำรอยเดิม ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์อีกครั้ง
‘ทุจริตคอร์รัปชัน’ ฉุดการพัฒนาประเทศ
ความกังวลใจที่น่าจับตาคือ “การทุจริต” และการประพฤติมิชอบจะเกิดขึ้นท่ามกลางการดำเนินโครงการพลังงานนิวเคลียร์หรือไม่ เพราะเกี่ยวข้องกับ 2 ภาคส่วนที่มักมีความเสี่ยงสูงต่อการทุจริต ได้แก่ ภาคการไฟฟ้า และ ภาคการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
ปีที่ผ่านมาเวียดนามเกิดคดีทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าเวียดนาม ซึ่งมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงฐานละเลยหน้าที่และจงใจแก้ไขนโยบายเพื่อเอื้อให้ขายไฟฟ้าราคาสูงเกินจริง สร้างความเสียหายถึง 36 ล้านดอลลาร์ ปัญหานี้ตอกย้ำสิ่งที่ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติเคยรายงานไว้ในปี 2560 เกี่ยวกับ จุดอ่อนในการกำกับดูแลภาคพลังงานเวียดนาม อันได้แก่ การขาดความโปร่งใส, กลไกตรวจสอบถ่วงดุลที่ไม่มีประสิทธิภาพ, ปัญหาทางระบบราชการ และสายสัมพันธ์ที่แนบแน่น ระหว่างภาครัฐและเอกชน
ดังนั้น แม้ว่าตัวพลังงานนิวเคลียร์เองจะถือว่า "สะอาด" ในแง่ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่ากระบวนการดำเนินโครงการให้เกิดขึ้นจริงจะ "สะอาด" ปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชันได้เช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้ระบบราชการโดยรวมเกิดภาวะ "หยุดชะงัก" เนื่องจากบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ เกิดความหวาดกลัวว่าจะมีความผิดทางวินัย และไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ภาวะ "เกรงกลัวความผิด" นี้ ทำให้เกิด ความล่าช้าอย่างมากในการเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนภาครัฐ สำหรับโครงการต่างๆ โดยมีข้อมูลว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐโดยรวมของเวียดนามทำได้ไม่ถึง 50% ของแผนที่ตั้งไว้
แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง หนทางสู่ 'เวียดนามรุ่งเรือง'
การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลานานับ 10 ปี หรือนานกว่านั้น หากเวียดนามไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเบื้องต้นต่างๆ เพื่อให้การก่อสร้างและการดำเนินงานเป็นไปอย่างปลอดภัยได้ รวมทั้งจะต้องได้รับการอนุมัติจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) อีกด้วย
สุดท้ายแล้ว การพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในทันทีเพียงเพราะผู้นำระดับสูงประกาศว่า "เวียดนามจะต้องมีพลังงานนิวเคลียร์" การจะบรรลุเป้าหมายอันท้าทายนี้ได้ รัฐบาลต้องจริงจังกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่ใช่ด้านเทคโนโลยี ซึ่งกัดกร่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาในระบบราชการ, การทุจริตคอร์รัปชัน และความล่าช้าในการดำเนินโครงการสาธารณะต่างๆ ถ้าหากเวียดนามต้องการก้าวเข้าสู่ “ยุครุ่งเรือง” Era of Nation’s Rise
อ้างอิง thediplomat , wfw







